การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลทำให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมและมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ แม้ว่าราคาชิ้นส่วนผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่ในตลาดจะ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากปัจจัยปัญหาในระบบห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลต่อราคาจำหน่ายรถยนต์ในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
โดยเมื่อไตรมาสที่ผ่านมาผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ต่างรายงานยอดจำหน่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาด บริษัท Tesla ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ รายงานผลกำไร กิจการไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ทั้งสิ้น 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรถยนต์รายอื่นต่างรายงานการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เช่น บริษัท Volkswagen Group ขยายตัวร้อยละ 65 และ บริษัท Mercedes ขยายตัวร้อยละ 37 เป็นต้น โดยรวมตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ ถึงแม้ว่าปัจจัยด้านราคาสินค้าแบตเตอรีลิเธียมไอออน (Lithium-Ion) ในตลาดโลกซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาจำหน่ายรถยนต์ตามไปด้วย แต่ ผู้บริโภคชาวอเมริกันในตลาดยังคงมีความต้องการและกำลังซื้อเพิ่มขึ้นสูง
Mr. Venkat Srinivasan ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์การสำรองพลังงาน (The Collaborative Center for Energy Storage Science) ศูนย์วิจัยแห่งชาติ Argonne กล่าวว่า ผู้บริโภครถยนต์พลังงานไฟฟ้าชาวอเมริกันมีลักษณะพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่อ่อนไหวกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาจำหน่ายในตลาดมากนัก ดังนั้นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาจำหน่ายในตลาดเพียงเล็กน้อยจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากนัก ในปี 2564
โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีราคาเฉลี่ยประมาณ 56,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคัน ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายรถยนต์ทั่วไปในตลาด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางรายมีรถยนต์ พลังงานไฟฟ้าจำหน่ายหลายรุ่นทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น บริษัท Nissan ที่วางจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่น Leaf ในราคา 27,400 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นระดับราคาที่ ผู้บริโภคในตลาดสามารถจับต้องได้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้มากถึงร้อยละ 5.8 ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส ที่ 1 ปี 2565 รถยนต์รุ่นนี้ยังมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาด้วย
Mr. Aditya Jairaj ตำแหน่งผู้อำนวยการการตลาดและการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตลาด สหรัฐฯ บริษัท Nissan ระบุว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของบริษัทขยายตัวมาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้รับการติดต่อสอบถามข้อมูลจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ ปัจจัยด้านความพร้อมของระบบสาธารณูปโภครองรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในปัจจุบันมีส่วนสำคัญทำให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดยังมีส่วนสำคัญทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นด้วย
โดยปัจจัยด้านภาวะเงินเฟ้อและสงครามการเข้ารุกรานยูเครนของรัสเซีย ส่งผลทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวมถึงในสหรัฐฯ ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43.06 โดยในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากผู้บริโภคในตลาดเริ่มหาช่องทางที่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานนทำให้มีผู้บริโภคเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เมื่อมีคนใช้งานมากขึ้นก็เกิดการแนะนำแบบปากต่อปากทำให้ผู้บริโภครายอื่นสนใจซื้อตามไปด้วย
กระนั้น แม้ว่าแนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของราคาแบตเตอรีในตลาดขณะนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวมากนักแต่ก็มีความเป็นไปได้ หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นในอนาคตก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดได้
Mr. RJ Scaringe ตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัท Rivian Automotive กล่าวว่า ปริมาณกำลังการผลิตเซลล์แบตเตอรีทั่วโลกในปัจจุบันรวมกันคิดเป็นเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของปริมาณความต้องการบริโภคทั่วโลกภายใน 10 ปีข้างหน้า ดังนั้น ปัจจุบันตลาดจึงยังคงขาดแคลนเซลล์แบตเตอรีสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัท Tesla ได้วางแผนที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย การเข้าลงทุนในกิจการเหมืองแร่เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบการผลิตแบตเตอรีได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกหลายประการ เช่น การปรับเพิ่มขึ้นของราคาจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตามราคาชิ้นส่วนการผลิต การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และการลดเงินสนับสนุนซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ได้
Mr. Joshua Cobb ตำแหน่ง นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท Fitch Solutions กล่าวว่า ประเด็นด้านการสนับสนุนซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และแนวโน้มการลดลงของเงินสนับสนุนในรูปของภาษี ซื้อ (Tax Credit) จากรัฐบาลตามลำดับ น่าจะส่งผลต่อความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อโครงการดังกล่าวสิ้นสุดลงน่าจะทำให้ตลาดเห็นกำลังความต้องการซื้อรถยนต์ที่แท้จริงของผู้บริโภคในตลาด
แหล่งที่มา : Fortune เรื่อง: “A Surge in Battery Prices Isn’t Enough to Stop Record Sales for Electric Carmaker”