“มนพร” หนุน การท่าเรือฯ ใช้พลังงานสะอาด เดินหน้าติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคาโรงพักสินค้า ช่วยผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ถึง 5 ล้านกิโลวัตต์/ปี ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวเป็นท่าเรือสีเขียวชั้นนำ
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในยุคที่ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมมีนโยบายในการขับเคลื่อนให้ทุกหน่วยงานในสังกัดสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Logistics) เพื่อร่วมขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามแนวคิด ESG สำหรับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา หรือ Solar Rooftop ถือเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อย CO2 และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ อีกทั้งยังช่วยยกระดับให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นท่าเรือสีเขียว (Green Transport) ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ลด PM 2.5 และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในระบบการเดินทางและขนส่งในทุกประเภท ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) นำไปสู่อนาคตแห่งความยั่งยืนร่วมกัน
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า กทท. มีแผนพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และควบคุมมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐ ซึ่งหนึ่งในโครงการสำคัญคือการติดตั้ง Solar Rooftop ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดประมาณ 3.798 MWp เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองภายในหน่วยงานและลดการรับซื้อไฟฟ้า เป็นการติดตั้งด้วยระบบโซล่าเซลล์แบบออนกริด (On Grid) สามารถใช้ได้ทั้งไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซล่าเซลล์ และไฟฟ้าที่รับมาจากการไฟฟ้านครหลวง ปัจจุบันติดตั้งแล้วใน 2 พื้นที่ ได้แก่ บริเวณอาคารที่จอดรถของสำนักงาน และหลังคาอาคารโรงพักสินค้า โดยในอนาคต กทท. มีแผนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มเติม ณ อาคาร PAT Arena บนพื้นที่ 3,020 ตารางเมตร ขนาดกำลังการผลิต 622.08 kWp คาดการณ์ความสามารถการผลิตไฟฟ้ารวมในอนาคตของทั้งหน่วยงานได้ประมาณ 5,035,765 กิโลวัตต์/ปี ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้กว่า 2,574 ตัน/ปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 55,341 ต้น นับเป็นการตอบโจทย์และช่วยส่งเสริมเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมตามหลัก ESG ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ กทท. ยังมีแผนการพัฒนาท่าเรือ เพื่อก้าวสู่การเป็น Carbon Neutral Port ภายในปี 2050 ด้วยนโยบาย 2D ประกอบด้วย Decarbonization การสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสะอาดพร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในท่าเรือและพื้นที่โดยรอบ เพื่อสร้างท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ Digitalization การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการทำงาน รวมถึงการบริหารจัดการท่าเรือด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะใช้เครื่องมือทุ่นแรงพลังงานไฟฟ้าที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ไทยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป