จำเนียรกาลกลับไปหลังเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ปี 54 ผู้คลุกคลีตีโมงในป่าดงดิบสิบล้อเมืองไทยคงพอจำกันได้กับการไหลบ่าของบรรดาค่ายรถใหญ่จากจีนแผ่นดินใหญ่ตีตลาดเมืองไทยสุดลิ่มทิ่มประตูกำแพงเมืองจีน บรรดาอาเฮียอาซ้อกระเป๋าหนักบุกเมืองจีนกระหน่ำช้อปปิ้งหลากหลายยี่ห้ออาสาเป็นตัวแทนจำหน่ายเข้ามาขายในไทยหนุกหนานบานตะไท
ว่ากันว่าเวลานั้นรถบรรทุกสายพันธุ์มังกรขายดิบขายดียังกะเทน้ำเทโซดา เพราะราคาถูกสั่งจองรอไม่นาน ประกอบเวลานั้นค่ายรถญี่ปุ่นประสบปัญหาสายพานการผลิต-ประกอบสั่งจองได้แต่… “รอนาน” ไม่ทันใจผู้ประกอบการที่ต้องรถไปใช้งานเร่งด่วนกับงานซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศขนานใหญ่หลังมวลน้ำก่อนใหญ่โบกมือลา เป็นอุปสงค์อุปทานให้ยอดขายรถบรรทุกในปี 55 ทะลุเป็นประวัติการณ์กว่า 4 หมื่นคัน
ทว่า มิติพิศวง “ความรุ่งโรจน์รถจีน”ก็หอมหวานชนิดหม้อข้าวไม่ทันจะดำก็ถึงครา“รุ่งริ่ง” ด้วยปัญหาไร้เอกภาพของผู้นำเข้าที่ต่างคนต่างนำเข้าเพราะอยากได้แค่ปริมาณ “ยอดขาย” แต่ไร้คุณภาพมาตรฐาน อะไหล่ก็ห่วยบริการหลังการขายก็แย่ รวบตึงแบรนด์จีน“ขายแล้วทิ้ง”ด้วยภาพลักษณ์ติดลบหลอกหลอนผู้ประกอบการขนส่งเมืองไทยถึงขนาดต้องร้อง“ยี้”หากเอ่ยถึงรถบรรทุกจีน
หล่อหลอมสมรภูมิรถใหญ่เมืองไทยกลายเป็น “ตลาดปราบเซียน-ตลาดอาถรรพ์”สำหรับค่ายรถจากจีน เป็นแรงโน้มถ่วงพ่นพิษถาโถมจนหลายค่ายมิอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหวม้วนเสื่อกลับไปเลียแผลใจที่แดนมังกร!

ทว่า แม้หวานอมขมกลืนก็ยังมีอีกหลายค่ายที่ยังกัดฟันสู้ตลาดอาถรรพ์ เช่นเดียวกับค่ายโฟตอน (ตอนนี้แปรงร่างเป็น CP FOTON) เส้นทางการโม่แป้งการตลาดของค่ายโฟตอนจากแดนมังกร ณ แผ่นดินสยาม ก่อนหน้านี้เคยเลื้อยอยู่ในอ้อมกอดดิสทริบิวเตอร์รายเดิมหลายปีแต่ผลงานไม่บรรเจิด&ระเบิดเถิดเทิงพลางแจ้งเกิดไม่ทันใจหน่วยเหนือ
หลังหมดสัญญาจากผู้นำเข้ารายเดิม ถึงขนาดที่บริษัทแม่จากจีนแผ่นดินใหญ่ใจใหญ่ยอมทุบคลังก่อตั้งบริษัทลูกเองในไทยพร้อมพาเหรดผู้บริหาร-ทีมงานกุมทัพบริหารเองกับมือ แต่ยอดขายแต่ละปีมีเพียงแค่ “หยิบมือ”และยังไม่รับความนิยมจากผู้ประกอบการขนส่งเมืองไทยเท่าไหร่นัก
ค่ายโฟตอนยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆเมื่อช่วงเมษาปี 62 คงจะพอจำกันได้กับปฏิบัติการสายฟ้าแลบผ่ากลางท้องทุ่งรถใหญ่เมืองไทย เมื่อกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ไทยอย่าง ซี.พี.กรุ๊ป บุกแดนมังกรดอดสลัดหมึกสัญญาร่วมทุนกับ โฟตอน มอเตอร์ กรุ๊ป มหาอำนาจอุตสาหกรรมยานยนต์เบอร์หนึ่งของจีน นำไปสู่การแปรงร่างเป็นแบรนด์ “CP FOTON”ภายใต้การขับเคลื่อนของบริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด
เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่โคจรมาเจอกันแล้วจูบปากร่วมทุนแบบวินๆทั้งคู่ ทว่า ก็มิวายถูกวิจารณ์ให้แซดว่าค่ายรถใหญ่จากแดนมังกรหลังยกพลขึ้นบกบุกแผ่นดินสยาม ทนพิษบาดแผลจากสมรภูมิรถใหญ่เมืองไทยไม่ได้ หรืออาการหนักสาหัสสากรรจ์ขนาดนั้นเลยหรอ? หรือเทพองค์ใดเข้าฝันดลใจ?หมดท่าถึงต้องเซถลาพึ่งใบบุญกลุ่มทุนยักษ์ ซี.พี.!?
กระทั่งปลายปีที่แล้วบริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำภายใต้แบรนด์“ซีพี โฟตอน” (CP FOTON) ที่เกิดขึ้นบนความร่วมมือทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ก็ได้ฤกษ์แหวกม่านควันพิษเจ้ามหาประลัยโควิดจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีของการร่วมทุน จุดพลุแนวคิด “Drive The Future” ประกาศก้องมุ่งพัฒนา 3 มาตรฐาน “งานขาย-บริการหลังการขาย-อะไหล่”ทั้งระบบ
เร่งขยายเครือข่ายดีลเลอร์ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้ายอดขายปี 63 ไว้ที่ 450 คัน ปี 64 เพิ่ม 600-800 คัน ลั่นอีก 2-3 ปีตั้งโรงงานผลิต-ประกอบในไทย เปิดตัว 4 รุ่นใหม่แข่งในตลาดกล้ารับประกัน 6 ปีสูงสุด 8 แสนกม. มั่นใจดันพันธกิจกรุยทางผงาดติด 1 ใน 3 ผู้นำตลาดรถใหญ่เมืองไทย

ทว่า เส้นทางฝันสู่การติด Top 3 ผู้นำตลาดรถใหญ่เมืองไทยในอีก 3 ปีข้างหน้านั้น เป็นความที่เป็นจริง หรือ…แค่ฝันเฟื่อง ทำไมพวกเขาถึงกล้าคิการณ์ใหญ่ หรือมีดีอะไรถึงได้มั่นใจอะไรเพียงนั้น?แล้วค่ายไหน?คือคู่แข่งหมายเลข 1 ในบรรดา Top 3 ที่ค่าย CP FOTON ต้องโค่นลงให้ได้ก่อนที่คิดการณ์ใหญ่โค่น 2 มหาอำนาจรถใหญ่ เป็นงานง่ายยังกะปลอกกล้วยเข้าปาก หรือ…เข็นครกขึ้นภูเขา?มาดูกัน!
ด้วย 2 มิติความยิ่งใหญ่ได้ขมวดเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกแล้ว เป็นเหตุและผลที่ 2 ยักษ์ใหญ่มุ่งหวังจะเป็นโอกาสและการเติบโตในอนาคตทั้งตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ช่วยเป็นสะพานเชื่อมทางสู่ความสำเร็จด้านยอดขาย CP FOTON ก้าวขึ้นแท่นติด 1ใน 3 ผู้นำตลาดรถใหญ่ในไทยได้ตามเป้าหมาย
ถามว่าเส้นทางฝันสู่ฝันหวังติด Top 3 ภายใน 3 ปีข้างหน้าจะสะดวกโยธินหรือไม่?จะเป็นฝันที่เป็นจริง หรือแค่…ฝันเฟื่อง ต้องกลับมาดูสรรพกำลัง CP FOTON ณ เวลานี้พรั่งพร้อมแค่ไหน? ด้านทีมงานผู้บริหารคลังสมอง-หน่วยเคลื่อนที่งานขาย-บริการแน่นปึ๊กไม่ว่าจะฟากฝั่งซี.พี.และโฟตอนเอง งานด้านกลยุทธ์มือการตลาดชั้นเซียนระดับซี.พี.แล้วน่าจะวางหมากไว้อย่างแยบยลชนิดเหยิยบหิมะไร้ร่องรอยพลางซ่อนประตูกลไว้อีกหลายชั้น
ผู้คร่ำหวอดในแวดวงรถรถบรรทุกวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าอาจเห็นปรากฏการณ์ “ซื้อเหล้าแถมเบียร์”ก็อาจเป็นไปได้ การสร้างสายสัมพันธ์ซี้ย้ำปึ๊กเพื่อดูดกำลังซื้อจากลูกค้าเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งภายในและนอกอาณาจักรซี.พี. หรือแม้กระทั่งแหล่งเงินทุนแล้วล่ะก็ เจ้าพ่อซี.พี.เขาถนัดดีนักแล ส่วนงานด้านอะไหล่และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ กลาง เล็ก รถบัสโดยสาร และยานยนต์สมัยใหม่โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ทั้งหมด…..น่าจะไหลมาเทมาดั่งฝนอันชื่นใจหลังจากนี้!?

การลั่นวาจาจะวางแผนสร้างโรงงานผลิต-ประกอบในไทยในอีก 2-3 ปีเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน ส่วนการขยายเพิ่มดีลเลอร์ ณ เวลานี้มี 24 แห่งปีหน้าเพิ่มอีก 6 แห่ง ด้วยบารมีอาณาจักรซี.พี.ที่ช่วยชุบร่างใหม่ค่าย CP FOTON กลายเป็นแบรนด์เนื้อห๊อมหอม พลิก“ภาพลักษณ์ติดลบ”รถจีนในสายตาผู้ประกอบการกลับมาเป็นแบรนด์ดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิม
แล้วค่ายไหน?คือคู่แข่งอันดับ 1 ตัวฉกาจที่พวกเขาต้องโค่นลงเพื่อก้าวขึ้นไปแทน เบอร์ 4 ของตลาด คือค่ายชบาแดง หรือฟูโซ่ ที่นับวันสาละวันเตี้ยลงๆ น่าจะเป็นม้านอกสายตาในเวลานี้ คงหมายตาไปที่เบอร์ 3 ของตลาด คือค่ายยูดี ทรัคส์ น่าจะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่ได้เปรียบในภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น ที่อยู่คู่สังคมขนส่งไทยมานานและแต่ละปีปั๊มยอดขายได้ 900-1,000 คัน ซึ่งค่าย CP FOTON ต้องคว่ำให้ได้เสียก่อน
ก่อนที่จะคิดการณ์ใหญ่ไปเทียบรัศมี 2 ผู้ยิ่งใหญ่ของตลาด“ อีซูซุ-ฮีโน่” ที่อยู่คู่วงลัอสังคมขนส่งไทยมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปีกว่าจะสร้างความแข็งแกร่งครองเป็นผู้นำตลาด แต่ละปีกวาดยอดขายรวมกันทั้ง 2 ค่ายเกือบ 2 หมื่นคันต่อปีกินสัดส่วนตลาดไปกว่า 90% กว่า CP FOTON จะเข้าใกล้รัศมีความยิ่งใหญ่และล้ม 2 มหาอำนาจจากแดนปลาดิบลงได้ เป็นอะไรที่ยากมากๆแต่..ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ทว่า หลังส่องผลงานด้านยอดขายปี 63 ของค่าย CP FOTON ปั้มยอดขายรวมได้ 87 คันหลุดจากเป้าอีกไกลที่เคยวาดฝันเอาไว้ 450 คันท่ามกลางแรงโน้มถ่วงจากภาวะเศรษฐกิจขาลง ผสมโรงด้วยพิษวิกฤติโควิดเล่นงาน ครั้นก้าวเข้าสู่ปี 64 กับเป้าสวยหรูที่วางไว้ถึง 600-800 คันนั้น ถือว่าเป็นเป้าที่ท้าทายและ CP FOTON ก็ย่อมรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าจะไปถึงฝั่งฝันนั้นหรือไม่?
กับความฝันอันสูงสุดขอเวลาอีกไม่นาน 2-3 ปี ค่าย CP FOTON จะผงาดติด Top 3 บนสมรภูมิรถใหญ่เมืองไทยได้หรือไม่นั้น? …กาลเวลาและ Cp Foton จะเป็นผู้ขีดเขียนเอง!
:กระบี่ไร้นาม