หากโรคอัลไซเมอร์ไม่ลักพาตัวไปเที่ยวที่ไหนซะก่อนคงพอจำกันได้กับปัญหาฝุ่น PM2.5 เมื่อครั้ง(ปลายปีที่แล้ว)แผ่ปกคลุมน่านฟ้าหลายพื้นที่ในเขตกทม.และปริมณฑลแล้ว อีกทั้งยังแผ่ครอบคลุมไปอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ ขมวดเป็นพลานุภาพปกคลุมม่านตาภาครัฐจนพร่ามัว-มั่วตุ้มในการแก้ไขปัญหาอย่างไร้หางเสือ
ร้อนไปถึงลุงตู่ถึงขนาดได้โพสต์ข้อห่วงใยลงในเฟสบุ๊กพร้อมสั่งการให้ตำรวจเร่งรัดออกข้อกำหนดสั่งห้ามใช้รถที่ปล่อยควันดำ รถที่ถูกจับจะต้องถูกขึ้น watch list เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถเพื่อต่อทะเบียน จากนั้นกรมขนส่งฯก็ออกโรงเด้งรับนายกฯลุงตู่ทันควัน พร้อมประกาศเข้มมาตรการล้อมคอกฝุ่น PM2.5 เต็มอัตราศึก
ปูพรมตั้งด่านตรวจจับควันดำ“รถบรรทุก-รถโดยสาร“แทบทุกตารางเมตรทั่วกรุง-ปริมณฑลเข้มข้นทะลวงไส้แตกไปทั่วประเทศทั้งในวันธรรมดาและวันหยุดราชการ หากตรวจพบค่าควันดำเกินมาตรฐาน (เกินกว่า 45 %) จะลงโทษเปรียบเทียบปรับ 5 พันบาท และพ่นสี“ห้ามใช้”เด็ดขาด

ถัดมาอีกไม่กี่วันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)มีมติสรุป 12 มาตรการแก้ไขปัญหาโดยจะหายาที่แรงขึ้น เพื่อนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ถัดมาครม.สัญจร(21 ม.ค.63)ที่จังหวัดนราธิวาส ไฟเขียว 12 มาตรการตามที่กระทรวง ทส.เสนอเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5 ทั้งเพิ่มความเข้มคุมรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯตรวจควันดำรถบรรทุก-รถโดยสาร คุมการปล่อยฝุ่นของโรงงาน ดูแลการก่อสร้างในเขตเมืองให้ลดฝุ่นลดจราจรติดขัด ห้ามการเผาในที่โล่ง ลดราคาน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมที่ก่อฝุ่นน้อย ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เป็นต้น
1 ใน 12 มาตรการที่ถือว่าเป็น“ยาแรง”กระแทกหัวอกสิงห์รถบรรทุกไปเต็มเปา ที่ว่ายาแรงก็เพราะเป็นการห้ามรถบรรทุกสิบล้อขึ้นไปวิ่งถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกรอบนอกในวันคี่โดยเด็ดขาด เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 21.00 น.และให้เข้าได้ในช่วงหลังเวลา 21.00น. – 05.00 น.ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น ส่วนวันคู่สามารถเข้าได้ช่วงเวลาตามปกติ โดยมีระยะเวลา 2 เดือนสิ้นสุดเดือนกุมภาฯ

ต่อมาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?เกิดวิกฤติเจ้ามฤตยูไวรัสโควิดเขย่าขวัญคนไทยและทั่วโลกพอดิบพอดี ภาครัฐประกาศล็อคดาวน์-ภาวะฉุกเฉินหวังคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด รถบรรทุกได้รับการผ่อนผันวิ่งได้ทุกช่วงเวลาตามข้อกำหนดประกาศเคอร์ฟิว ทว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ยังไม่มีใครรู้เลยว่าแล้ว “ยาแรง“ห้ามสิบล้อวิ่งวันคี่น่ะสรุปแล้ว…ไปถึงไหนแล้ว?และนำไปสู่ภาคปฏิบัติจริงหรือไม่?อย่างไร?
วันดีคืนดีเจ้ากระทรวงหูกวางผู้มีไอเดียกระฉูดแตกรายวันออกมาโชว์ผลงานชิ้นโบว์แดงหลังตะบันหน้าที่ครบ 1 ปีเต็ม ไล่ดะความคืบหน้าโครงการต่างๆพร้อมภูมิใจเต็มประดากับการแก้ไขปัญหามลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากรถบรรทุก-รถโดยสารสาธารณะถึงขนาดหล่นวลีเด็ดว่า “แก้ไขได้แล้ว 100% และจะดำเนินการต่อเนื่องอย่างเข้มข้น“
บางทีพ่อก็ไม่เข้าใจตุ้มคือกันว่าที่ท่านบอกแก้ไขได้แล้ว 100 % ตามวาทะเด็ดที่ท่านรมต.ได้หล่นเอาไว้มันคืออะไร?ไอ้เจ้าฝุ่นมหาภัย PM2.5 มันหายไปแล้ว หรือจะไม่มี หรือจะไม่เกิดขึ้นอีก?หรือท่านไล่บี้จับ-ปรับรถบรรทุก-รถโดยสารควันดำตามนโยบายเร่งด่วนจนอยู่หมัด?…ว่างั้น!

มันจะแก้ไขได้แล้ว 100 % ได้อย่างไร?ก็ต่อเมื่อต้นตอการเกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 เดิมๆก็ยังครบองค์ประชุม ไม่ได้ถูกสะสางให้สิ้นซากแล้จะแก้ไขได้แล้ว 100 % ได้อย่างไร? ที่มันจางหายไปและไม่มีการพูดถึงในเวลานี่ก็เพราะสภาพอากาศที่อยู่ในฤดูฝนต่างหากล่ะ
เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ!พอถึงวันนั้นวันที่ฝุ่นเจ้ากรรมนายเวรมาเคาะประตูหน้าบ้านเราอีกครั้ง นโยบายรูทีนไล่บี้จับ-ปรับรถบรรทุก-รถโดยสารควันคำก็จะถูกงัดถั่งงัดออกมาใช้อีกครั้ง…เชื่อไม่เชื่อรอดูล่ะกัน!?
ว่าก็ว่าเหอะการห้ามสิบล้อวิ่งวันคี่ จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับปฏิบัติการพิธี“จับแพะบูชายัญ“เซ่นฝุ่น PM 2.5 ยังกับว่าพวกเขาเป็นต้นตอปัญหาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่ต้นตอปัญหาฝุ่นในเมืองหลวงและปริมณฑลตามที่กรมควบคุมมลพิษร่ายเอาไว้ ร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง เป็นรถบรรทุกกว่าร้อยละ 28 ร้อยละ 7 มาจากรถบัส ร้อยละ 21 มาจากรถกระบะ ร้อยละ10 มาจากรถยนต์ส่วนตัว และอีกร้อยละ 5 มาจากบรรดาแมงกะไซค์
แม้พอจะบังคับขืนใจให้รับได้ OK “ต้นตอ”บ่อเกิดฝุ่นจิ๋วมหาภัยนั้น ร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง และในจำนวน 72.5 % นั้นเป็นรถบรรทุกร้อยละ 28 ที่สังคมพยายามยัดเยียดว่าเป็น “ต้นตอตัวเอ้”ฝุ่นเจ้ากรรมนายเวร PM2.5 เพียงเพราะเป็น“พี่ใหญ่”บนท้องถนนอะไรเทือกนั้น

แต่ไฉนเล่า?ภาครัฐกลับยัดเยียดให้สิบล้อซด “ยาแรง”แต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น!
แล้วรถบัส รถกระบะ รถยนต์ส่วนตัว หรือแม้แต่บรรดาแมงกะไซต์ก็ล้วนมีส่วนเป็นต้นตอด้วยเช่นกัน…ทำไมไม่กล้าอัญเชิญยาแรงให้ดื่มด่ำแก้กระหายแก้คอแห้งบ้างล่ะ?
เยี่ยงนี้แล้วมันคือการเลือกปฏิบัติหรือไม่?และมันคือแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นธรรมสำหรับพี่น้องสิบล้อแล้วหรือไม่? แล้วความเดือดร้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้น…ใครจะช่วยเยียวยาล่ะเจ้าคะพระเดชพระคุณท่าน?
อารมณ์พลพรรคสิบล้อไม่ต่างอะไรกับการที่กำลังถูกรัฐจับมัดโซ่ตรวนเป็น“แพะบูชายัญ”บวงสรวงพิธีกรรมไล่ฝุ่น PM 2.5 เพื่อความสงบร่มเย็นสุขภาพแห่งมวลประชา ทว่า พวกเขาจะได้รับเกียรติถูกจารึกไว้ใน“คัมภีร์ไล่ฝุ่น”หรือทรงคุณค่าพอกับเหรียญกล้าหาญไว้เป็นที่ระลึกหรือไม่?
เพ่งกสิณในดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว…คงเหลือแต่ “สุญญตา”…ในสายตาเธอประเทศไทย!
:ขันธ์ธีร์