นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลไทยได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (พรก.ฉุกเฉิน) ณ วันที่ 26 มีนาคม ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) นั้น คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จึงได้ร่วมประชุมเพื่อหารือถึงแนวทางการดำเนินการและข้อเสนอแนะของภาคเอกชน ที่สนับสนุนมาตรการหยุดยั้งการแพร่กระจายของ COVID-19 ของภาครัฐ โดยภาคเอกชนขอให้ภาครัฐดูแลโรงงานโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นยิ่งยวด Critical Industry and Supply Chain (CISC) และการขนส่งสินค้า (Logistics) เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าที่จำเป็นขาดแคลน ดังนี้

- อุตสาหกรรมอาหาร น้ำตาล น้ำมันปาล์ม เครื่องจักรกลการเกษตร การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ พลาสติก แก้วและกระจก เยื่อกระดาษ อลูมิเนียม
- อุตสาหกรรมยา สมุนไพร เครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยาง
- อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งหุ่ม
- อุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซ พลังงานหมุนเวียน
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ
ธุรกิจที่มีความจำเป็น (Essential) ต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจอย่างรุนแรงสามารถดำเนินการได้ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม, เวชภัณฑ์การแพทย์, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ธนาคาร. ธุรกิจการเกษตร, พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ต้องป้อนอุตสาหกรรมข้างต้น ช่องทางการจัดจำหน่าย การขนส่งและโลจิสติกส์
ข้อเสนอต่อภาครัฐ
- ให้ภาครัฐดูแลโรงงานโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นยิ่งยวด Critical Industry and Supply Chain (CISC) และการขนส่งสินค้า (Logistics) เพื่อป้องกันไม่ให้อุตสาหกรรมดังกล่าวหยุดชะงัก
- ขอให้งดการจ่ายประกันสังคมสำหรับลูกจ้างและนายจ้าง เป็นระยะเวลา 4 เดือน
- ให้ภาครัฐเพิ่มเงินช่วยเหลือลูกจ้างที่ว่างงานหรือถูกเลิกจ้างจากเดิมร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80
- ขอเลื่อนการจ่ายค่าน้ำและค่าไฟออกไป 4 เดือน
- ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19
- ให้ระบบสาธารณูปโภคให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
- หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจติดต่อกับภาคเอกชน สามารถให้บริการทางออนไลน์ได้
- ให้ผู้ขนส่งสินค้าสามารถส่งสินค้าได้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค