ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และเลขานุการคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้ระบุไว้ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างชัดเจน ทั้งแย่กว่าที่คิดไว้ สัญญาณอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกชะลอตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ดังนั้นแนะนำว่าผู้ประกอบการประเมินในทางร้ายไว้ก่อน คือปีหน้าเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
แต่รัฐบาลมีแผนสำรอง หรือจะเรียกว่า ท่าไม้ตายก็ได้
โดยดร.กอบศักดิ์ บอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นี่คืออาวุธลับของไทย หากในปีหน้าเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่ มาตรการเร่งการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะถูกเร่งรัดให้ดำเนินการเร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเบิกจ่ายและจ้างงานมากขึ้น จึงกล่าวได้ว่าที่คืออาวุธลับของไทย
มีอะไรบ้าง ?
ภาครัฐมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่ง ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาพลิกโฉมพื้นที่โดยรอบทั้งสิ้น เริ่มจากโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในปัจจุบัน คือ โครงการมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M 81) ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 55,927 ล้านบาท
ซึ่งก่อนหน้านี้งานก่อสร้างล่าช้าไปมาก เนื่องจากติดขัดในเรื่องของการจ่ายค่าชดเชยเวนคืนที่ดิน โดยในปี 2558 ประเมินกรอบวงเงินไว้ที่ 5,420 ล้านบาท แต่ด้วยสภาพเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพการใช้ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจึงต้องจ่ายค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มอีก 12,534 ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด 17,954 ล้านบาท
ปัจจุบันการก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้า 25% ส่วนงานระบบ และ O&M รูปแบบ PPP Gross Cost อยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาฯ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปลายปี 2566 หากเปิดให้บริการแล้วจะช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯไปกาญจนบุรี เหลือเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น จากเดิมจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ที่สำคัญยังเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ที่จะกระจายความเจริญไปยังพื้นที่โซนตะวันตก รวมทั้งเชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า(เมียนมา)อีกด้วย
นอกจากนี้ ในอนาคตกำลังจะมีโครงการเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่เกิดขึ้นตามมาอีกหลายโครงการ ดังนี้
1.โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ สายนครปฐม-ชะอำ (M8) วงเงินลงทุน 79,006 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค และแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนเพชรเกษม ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม. เพื่ออนุมัติหลักการโครงการ
2.โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก (M9) วงเงินลุงทุน 78,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงบางขุนเทียน–บางบัวทอง อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (PPP) พร้อมการออกแบบกรอบรายละเอียด คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2563 และช่วงบางบัวทอง–บางปะอิน สำรวจออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ
3.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 ด้านตะวันตก มีระยะทาง 98 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (ระยะทาง 254 กม.) ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมฯ โดยด้านตะวันตกเริ่มต้นที่ถนนพระรามที่ 2 เชื่อมกับมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี ถึงถนนสายเอเชีย บริเวณ จ.พระนครศรีอยุธยา
4.โครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ทางหลวงชนบท สาย นฐ.3004 (ศาลายา) ระยะทาง 12 กิโลเมตร โดยจะก่อสร้างตามแนวตะวันตก-ตะวันออก พาดผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด 3 อำเภอ ได้แก่ อ.บางกรวย อ.บางใหญ่ ของ จ.นนทบุรี และ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มเติมโครงข่ายใหม่ และลดปัญหาการจราจรของพื้นที่โซนตะวันตกของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบนถนนกาญจนาภิเษก และถนนบรมราชชนนี
ขณะนี้โครงการได้ดำเนินการศึกษาและออกแบบรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หากได้รับความเห็นชอบ และนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการแล้ว คาดว่าจะเปิดประมูลและดำเนินการก่อสร้างได้ประมาณปี 2565
5.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 มีจุดเริ่มต้นจากสถานีหลักสองของรถไฟฟ้า MRT ช่วงหัวลำโพง-บางแค แล้วยกระดับไปตามเกาะกลางของถนนเพชรเกษม สิ้นสุดที่รอยต่อระหว่างเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
แม้ว่าปัจจุบันสถานะของโครงการจะถูกชะลอการขออนุมัติโครงการออกไป หลังภาครัฐต้องการให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งรฟม.กำลังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบ PPP และรอประเมินจำนวนผู้โดยสารหลังเปิดเดินรถสายสีน้ำเงินครบตลอดสาย โดยหากจำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น1 ล้านคนต่อวัน จะเจรจากับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานสายสีน้ำเงิน เพื่อให้ลงทุนในส่วนดังกล่าวทั้งงานโยธาและระบบการเดินรถต่อไป
6.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ซึ่งงานโยธาแล้วเสร็จ 100% รอเปิดให้บริการพร้อมๆกับสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และสถานีกลางบางซื่อ ประมาณต้นปี 2564
7.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์ ระยะทาง 16.4 กิโลเมตรวงเงินลงทุน 142,789 ล้านบาท ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการแล้ว โดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน PPP net cost ระยะเวลา 30 ปี ในส่วนงานโยธาช่วงตะวันตก และลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถ และการเดินรถตลอดสายจากบางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก คาดว่าสามารถปิดบริการได้ประมาณปี 2569
8.โครงการรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยาย ช่วงบางหว้า-ตลิ่งชัน ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่จุดเชื่อมต่อกับโรงจอดรถที่บริเวณบางหว้า(เชื่อมกับสายสีน้ำเงินและบีทีเอส) จากนั้นวิ่งไปทางทิศเหนือตามแนวถนนราชพฤกษ์ (สร้างบนพื้นที่เกาะกลางถนน) สิ้นสุดที่ทางลาดลงของสะพานข้ามรถไฟสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) ปัจจุบันกทม.กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม (EIA)
9.โครงการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งสนามบินนครปฐม เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินจากสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองที่มีแนวโน้มแออัด รวมถึงรองรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ โดยพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้าง คือ อำเภอบางเลน (ต.บางระกำ ต.ลำพญา) และอำเภอนครชัยศรี (ต.บางแก้วฟ้า ต.บางพระ ต.วัดละมุด) ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ประมาณ 5.3 กิโลเมตร และใช้ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดลอม (EIA) ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2562 โดยผลศึกษาจะเสร็จเดือนก.พ. 2563 จากนั้นจะขออนุมัติจากกระทรวงคมนาคม และเสนอคณะรัฐมนตรีกลางปี 2564 ซึ่งตามแผนงานคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2566 มีกำหนดเปิดให้บริการประมาณปี 2569
เชื่อหรือยังว่ารัฐมี ‘ท่าไม้ตาย’ เพราะหากสามารถขับเคลื่อนโครงการที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหมดนี้ได้ รวมทั้งการเติบโตของการลงทุนตรงจากต่างชาติในพื้นที่ EEC วิกฤติเศรษฐกิจโลกก็อาจไม่สะเทือนสำหรับประเทศไทย