นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน กำหนดให้น้ำมันดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ นั้น ส.อ.ท. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการใช้น้ำมันดีเซล B10 จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2562 พบว่า ปัญหามลพิษที่เกิดจากฝุ่นละออง PM 2.5 ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาไหม้ในที่โล่ง และการจราจรที่หนาแน่นในพื้นที่เขตเมือง
ดั้งนั้น การสนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซล B10 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากข้อมูลของกระทรวงพลังงานหากผู้บริโภคร่วมกันใช้น้ำมัน B10 ทั้งหมด จะช่วยลดมลพิษได้ 3.5-13% นอกจากนี้ การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 ถือเป็นมาตรการที่สำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และยังแก้ปัญหาปาล์มล้นตลาด ด้วยราคา B10 ที่ถูกกว่า B7 ลิตรละ 2 บาท จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันดีเซล B10 จำนวน 723 แห่งทั่วประเทศ และมีแนวทางในการขยายสถานีบริการให้มากขึ้น โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบรถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมันดีเซล B10 ได้ที่เว็บไซต์ของกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน (www.doeb.go.th) หรือศูนย์บริการของค่ายรถยนต์ทั่วไป
นอกจากนี้ ส.อ.ท. โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อยู่ระหว่างการหารือแนวทางการสนับสนุนโครงการการปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ ทั้งการหา Model และหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ อาทิ การสนับสนุนค่าแรง การเปลี่ยนอะไหล่ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพื่อให้รถยนต์มีการปล่อยมลพิษโดยเฉพาะฝุ่นละออง PM 2.5 ลดลง
รวมถึงการขอความร่วมมือไปยังสมาชิกในการดูแลความสะอาดและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ภายในโรงงานที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น ดูแลตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ และเลือกใช้เชื้อเพลิงสะอาด รวมถึงตรวจสอบวิเคราะห์แหล่งกำเนิดฝุ่น เพื่อเพิ่มมาตรการในการตรวจติดตามและป้องกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้มีการผลักดันและส่งเสริมให้สมาชิกโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินงานตามแนวทางโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) โดยเป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการผลิตเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นกลไกลสำคัญในการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษของทางภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน