สสส.ออกแคมเปญ “low speed กลับบ้านปลอดภัยปีใหม่ 2562″เตือนระวังจุดเสี่ยงทางแยก-ทางโค้งพบตายสูงจากขับเร็วถึงร้อยละ 43.36 ชี้ขับเร็วเกิน 60 กม./ชม. โอกาสชนแล้วเสียชีวิตถึงร้อยละ 85
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย ร่วมจัดแถลงข่าว “Low Speed มีสิทธิ์รอด กลับบ้านปลอดภัย ปีใหม่ 2562” เพื่อส่งมอบความห่วงใยและร่วมผลักดันนโยบายความปลอดภัยทางถนน รณรงค์ลดความเร็ว ลดความเสี่ยง ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร แก่ประชาชนทั่วประเทศในช่วงเทศกาลปีใหม่
นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กล่าวว่าสสส.และภาคีเครือข่าย ได้รณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้แคมเปญ “กลับบ้านปลอดภัย” ได้ผลิตสปอตโฆษณาชุด “สูญเสียกันทุกฝ่าย” รณรงค์ผ่านสื่อและผลิตสื่อสนับสนุนรณรงค์ลดอุบัติเหตุให้กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากความตั้งใจและความมุ่งหมายที่อยากจะให้ทุกคนที่เดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องมีใครบาดเจ็บและสูญเสียอีก
“ข้อมูลศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เฉพาะช่วง 7 วัน 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2559-2561) มีผู้เสียชีวิตรวม 1,281 คน บาดเจ็บ 11,578 คน เกิดเหตุ 11,119 ครั้ง และรุนแรงเพิ่มขึ้น สาเหตุจากขับเร็วและดื่ม ซึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นทุกชีวิตมีคุณค่า คนที่ต้องจากไปและพิการ ส่งผลกระทบต่อหลายครอบครัวอย่างมหาศาล ถ้าหากขับรถเร็ว 60 กม./ชม. แล้วเกิดอุบัติเหตุ เทียบเท่ากับการตกตึก 5 ชั้น และถ้าหากขับรถ 120 กม./ชม. เทียบเท่ากับตกตึก 19 ชั้น จะเห็นว่าถ้าท่านขับรถเร็วเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว “ท่านอาจจะไม่มีสิทธิ์รอดชีวิต” ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ สสส. ขอส่งมอบความปรารถนาดีไปยังทุกท่าน เพราะ ไม่มีของขวัญชิ้นใดที่จะล้ำค่าไปกว่าการที่เราทุกคนได้ “กลับบ้านปลอดภัย” อยู่พร้อมกันทั้งครอบครัวฉลองปีใหม่อย่างมีความสุข”
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่าจุดเกิดเหตุเทศกาลปีใหม่ 2561 พบทางตรงร้อยละ 64.91 ทางโค้งร้อยละ 21.30 และทางแยกร้อยละ 11.03 สาเหตุคือ ขับเร็วเกินกำหนดสูงถึงร้อยละ 43.36 สอดคล้องกับกรมทางหลวงที่ระบุเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางโค้งจำนวน 2,004 ครั้ง ทางแยก 1,083 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 2,285 ราย บาดเจ็บ 12,995 ราย ดังนั้น ต้องไม่ลืมว่ายิ่งขับเร็ว ยิ่งมองไม่เห็นด้านข้าง ตอบสนองช้าลงเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มความรุนแรง จึงควรใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด ซึ่งการขับเร็วที่ 50 กม./ชม. ต้องใช้ระยะทางหยุดรถ 13 เมตร หากใช้ความเร็วที่ 80 กม./ชม.ต้องใช้ระยะเบรกถึง 36 เมตร และถ้าชนคนเดินถนนด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. มีโอกาสเสียชีวิตถึงร้อยละ 85 โดยข้อมูลการวิเคราะห์จุดเสี่ยคนทำงาน RTI (Road Traffic Injury)ทั่วประเทศพบว่าจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งระดับพื้นที่ คือทางแยก-ทางร่วม เพราะขาดป้ายเตือน ป้าย“ลดความเร็ว”คนต่างถิ่นขับรถไม่ชำนาญทางทางโค้ง เป็นจุดที่ขาดความระมัดระวังมักแหกโค้งเสียหลัก จุดกลับรถเป็นจุดอันตรายที่สุด แนะนำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ Low Speed จึงมีสิทธิ์รอดสูง
ดร.ปัญณ์ จันทร์พาณิชย์ สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในระดับอำเภอ เป็นกลไกระดับพื้นที่ที่มีความเหมาะสม สามารถดำเนินงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพและประเมินผลได้ดีที่สุด โดยปี 2560 กรมควบคุมโรค ได้จัดทำคู่มือและแนวทางการประเมินการดำเนิน District Road Traffic Injury (D-RTI) หรือการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนในระดับอำเภอโดยมีทีม RTI ที่เป็นภาคีเครือข่ายสหวิชาชีพระดับอำเภอ ร่วมวิเคราะห์จุดเสี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ใช้ข้อมูลความรู้สาธารณสุขและหน่วยงานภาคี นำเสนอคืนข้อมูลในเวที ศปถ.อำเภอ , ศปถ.อปท. เพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งนี้การแก้ปัญหาจุดเสี่ยงในชุมชนคือ ทำจุดนั้นให้เด่นชัด ให้ผู้ขับขี่เห็น เตือนบอกล่วงหน้า ปักธงแดง ทาสีสะท้อนแสง ตั้งกรวยลดความเร็วก่อนถึงจุดเสี่ยง เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาพบมีอำเภอผ่านเกณฑ์การประเมินรับรองคุณภาพในระดับดีเยี่ยม 54 อำเภอ และ 32 อำเภอ สามารถลดจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตลงได้อย่างเป็นรูปธรรม และปี 2561 มี 136 อำเภอ ผ่านเกณฑ์การประเมินรับรองคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พบว่า 75 อำเภอ บาดเจ็บลดลงและมี 52 อำเภอตายลดลง