กลายเป็นTalk of the town เขย่าขวัญอุตสาหกรรมยานยนต์เมืองไทยหลัง “ทาทา มอเตอร์ส” ค่ายรถจากแดนภารตะ ที่เคยเรียกเสียงฮือฮาวงการเมื่อปี 2008 ด้วยการซื้อกิจการยักษ์ใหญ่ยานยนต์อย่าง “จากัวร์และแลนด์โรเวอร์”จากฟอร์ดมอเตอร์ส ส่งเสริมบารมีจนผงาดติดอันดับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 19 ของโลกมาแล้ว
แต่ไฉนเล่ามาวันนี้ได้ประกาศยุติการผลิตรถในประเทศไทยพร้อมม้วนเสื่อกลับไปเกินน้ำบัวบก ณ ดินแดนภารตะเป็นที่เรียบร้อย?
ถ้อยแถลงการณ์จาก“ทาทา มอเตอร์ส”ระบุว่า สืบเนื่องจากนโยบายการปรับกลยุทธ์ 2.0 ทาทา มอเตอร์ส ได้จัดทำกลยุทธ์ 6 การขับเคลื่อน (6-Cylinder Strategy) เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืน ความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของกระแสเงินสด หนึ่งในนั้นคือเรื่อง “หนี้สินสุทธิ” และ “บริษัทย่อย”
หลังผ่านการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ดำเนินการประเมินรูปแบบการทำธุรกิจในประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อจากนี้ไป การทำธุรกิจในไทย ณ ขนาดนี้เป็น“ขนาดย่อย และไม่มีความยั่งยืนเพียงพอ”
ดังนั้นบริษัทฯ จึงตัดสินใจจะยุติการผลิตในปัจจุบันในประเทศไทยภายในปีงบประมาณนี้ สำหรับทิศทางต่อไปข้างหน้า บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทย ด้วยการปรับปรุงพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เหมาะแก่ความต้องการของลูกค้าในตลาดประเทศไทย โดยอาศัยช่องทางของการกระจายรถยนต์รุ่นต่างๆ ผ่านการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย หรือ Completely Built Up (CBU)
ปิดท้ายถ้อยแถลงยังย้ำชัด“ทาทา มอเตอร์ส”ยังมุ่งมั่นจะดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยยังเป็นตลาดสำคัญ และบริษัทฯ มีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่องต่อไป ควบคู่ไปกับช่วงเวลาที่บริษัทฯ กำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบของการดำเนินธุรกิจแบบใหม่
หลังประกาศก้องตัดสินใจยกธงขาวการผลิตในไทยครั้งนี้ เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์กันแซดในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยทำไม ทาทา มอเตอร์ส ที่ตะบันธุรกิจในไทยมาครบ 1 ทศวรรษพอดี ถึงได้ถอดใจยอมยกธงขาว…ธุรกิจในเมืองไทยดื้อๆเช่นนี้?
หากจะวิเคราะห์เจาะลึก ประเด็นแรกเลยต้องเป็นยอดขายดัชนีชี้วัดอัตราการเติบโตในไทยหลังได้ฤกษ์ยกพลขึ้นบกบุกตลาดเมืองไทยเมื่อปี 2550 ยอดขายรวมในแต่ละปีไม่ถึง 1,000 คัน โดยปี 2017 ที่ผ่านมามียอดขาย 986 คัน ซ้ำร้ายหนักสุดกับยอดขายครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.61) 392 คัน ลดลง 15.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ขายได้ 466 คัน เฉพาะเดือนมิถุนายน2561ทำยอดขายได้แค่ 50คัน ลดลง 20.6%
คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดใน 3 โลกอะไรกับห้วงเวลา 10 ปีในไทย ค่ายรถผู้ทรงอิทธิพลสุดๆจากแดนภารตะอย่างทาทา มอเตอร์ส จะขาดทุนบักโกรกต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาขาดทุนไปถึง 882 ล้านบาทเลยทีเดียว
เมื่อยอดขายหลุดเป้าผนวกกับการขาดทุนบักโกรกทุกปี ย่อมไม่เป็นที่พึงพอใจและไม่แปลกที่จะถูกโยงเป็นเหตุผลอันชอบธรรมให้ทางบริษัทแม่ที่อินเดียมองว่าทาทา มอเตอร์สบนแผ่นดินไทย เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และไม่มีความยั่งยืนเพียงพอ ที่บริษัทแม่จะบ้าเลือดยอมทุบคลังลงทุน…อีกต่อไป
ประเด็นต่อมาคงต้องขมวดลงในแง่มุมการแข่งขันตลาดเมืองไทย แม้แรกเริ่มการลุยตลาดเมืองไทย ทาทา มอเตอร์ส จะผลิตรถกระบะ“ทาทา ซีนอน”พร้อมชู“จุดขาย”หวังแหวกม่านตลาดรถยนต์เมืองไทยให้จงได้ ด้วยกลยุทธ์“ราคาถูกกว่าคู่แข่งรถค่ายยุโรปและค่ายญี่ปุ่น” แต่ทว่า Branding ยังไม่เข้าตากรรมการเท่าไหร่นัก ผนวกกับอุณหภูมิการแข่งขันตลาดรถเล็กเมืองไทยเข้าขั้น…นฤโหด!
ขณะที่เซ็กเมนต์กลุ่มรถบรรทุก แม้พวกเขาจะเสริมทัพด้วยหัวลาก “ทาทา โนวัส” และรถบรรทุก 6 ล้อ “อัลทรา”ซึ่งล้วนเป็นการนำเข้าทั้งสิ้น แต่ทว่าการะทะลุทะลวงยังยากเย็นแสนเข็น เข้าทำนองจะงัดกลุยทธ์เด็ดอะไรออกมาสู้กับค่ายญี่ปุ่น คงไม่ต้องโพนทนาไปไกลเทียบชั้นบารมีกับ 2 มหาอำนาจค่ายรถยักษ์ชนิดแข็งโป้กในวงการอย่าง Isuzu และ Hino หรือแม้แต่ระดับรองลงมาอย่าง UD Trucks และ FUSO ยังเลือดตาแทบกระเด็น หรือเทียบชั้นวรรณะระดับเดียวอย่างค่ายรถจากจีนก็ยัง….ลำบากอยู่ดี
เมื่อทุกมิติการแข่งขันถูกมัดรวมสังวาสข้าด้วยกันแล้วคลอดออกจากมดลูก ทาทา มอเตอร์ส กับคำตอบที่ได้และเหมาะสมที่ว่า ….ยอมยุติการลงทุนผลิตรถในเมืองไทยเพียงแค่นี้ แม้จะยังยืนยันไม่ละทิ้งตลาดในเมืองไทยไปเสียทีเดียว ด้วยรูปแบบส่งรถที่ประกอบเสร็จทั้งคันเข้ามาจำหน่ายแทน
แต่สิ่งที่ต้องตามดูกันต่อไปคือ เมื่อเปลี่ยนมาสู่ระบบนำเข้ารถทั้งคัน ทาทา มอเตอร์ส จะยังกล้าเล่นเกมราคาได้เหมือนเดิมหรือไม่ ? หรือนี่คือแค่การ “แอ็คติ้งอาร์ตแก้เกี้ยว”ปล่อยให้เรื่องเงียบสักพัก!
…โผล่อีกทีก็นั่งโซ้ยโรตีสบายใจเฉิบที่อินเดียซะแล้ว!
:ปิศาจขนส่ง