การค้าออนไลน์ในยุคนี้นับว่าเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งไม่เพียงจำกัดเฉพาะการค้าในประเทศ แต่ทุกวันนี้ ทุกประเทศสามารถเปิดตลาดในโลกออนไลน์และขายสินค้าและจัดส่งข้ามพรมแดนกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็วกว่าเก่ามาก จะเห็นได้ว่าเดิมเราสั่งสินค้าจากจีนในแพลตฟอร์ม AliExpress หรือในLazada อาจใช้เวลาตั้งแต่ 14- 25 วัน ขณะที่ปัจจุบันอาจจะลดเหลือแค่ 7 วัน หรือแค่ 3 วัน
เรียกว่ารวดเร็วจนรู้สึกเหมือนสั่งสินค้าในประเทศ ซึ่งจริงก็ใช่ เพราะปัจจุบันผู้ค้าต่างมีสินค้าพักไว้ในศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทย ทำให้สามารถส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้นนั่นเอง
โลกกำลังแคบลง และการค้าจะไร้พรมแดนยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าตลาดในตอนนี้ คือคือทะเลเดือดดีๆนี่เอง ดังนั้นจะเป็นไปได้มั้ยถ้าจะมองหาตลาดใหม่ๆดูบ้างโดยใช้การค้าแบบ Cross- Border E-Commerce หรือการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน

ไม่ใกล้ ไม่ไกล ไปส่องที่ตลาดเมียนมากัน!
เริ่มที่เรื่องพื้นฐานและประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ต โดยในปี 2562 ประชาชนเมียนมามีความนิยมในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งมีการใช้มากว่า 21 ล้านคน ถือว่ามีสัดส่วนเกือบ 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 54.10 ล้านคนเลยก็ว่าได้
การใช้เฟชบุ๊คไม่ใช่เพียงเพื่อใช้เป็นช่องทางสื่อสารเท่านั้น แต่ชาวเมียนมายังมีการขายสินค้าผ่านทางเฟชบุ๊คเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ยังนี้มีแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์อื่นๆ ที่นิยมในเมียนมา เช่น Shop.com, Barlolo.com, Shopmyar.com และ Baganmart.com สำหรับรูปแบบการค้าผ่านเฟชบุ๊คยังใช้วิธีเก็บเงินปลายทางเป็นส่วนใหญ่
อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการในต่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ที่ระบุว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสินค้า e-Commerce ในเมียนมาอยู่ที่ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.008%ของจีดีพีเมียนมา เรียกว่าน้อยมากจนน่าใจหาย

กระนั้น อย่างเพิ่มมองข้าม เพราะแม้ว่าจะยังมีสัดส่วนน้อยแต่โอกาสในการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ในตลาดเมียนมาถือว่ามีความสดใส มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากอดีตโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง ตั๋วเครื่องบินตั๋วรถไฟ หนังสือ เครื่องดื่มและอาหารมีโอกาสดีมาก เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่มีการใช้สมาร์ทโฟนใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็น 39% ของทั้งประเทศ และความเร็วเฉลี่ยของสัญญาณอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ 24.21 MBPS โดยมีผู้ให้บริการเครือข่ายอยู่ 4 ราย คือ MPT, Oredoo, Telenor และ Mytel
ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ชาวเมียนมาเริ่มมีชนชั้นกลางมากขึ้น ซึ่งจะมีพฤติกรรมการบริโภคที่เน้นสินค้าที่มีคุณภาพสูง จากเศรษฐกิจเมียนมาที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 6-8%
อย่างที่รู้กัน คนเมียนมาเขาชอบสินค้าไทยและมองว่าคุณภาพดีกว่าจีน
ดังนั้น สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเปิดตลาดสินค้าออนไลน์ยังมีโอกาสมาก เนื่องจากชาวเมียนมามั่นในเรื่องคุณภาพของสินค้าไทย ทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นมูลค่า 4,618 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยกลายเป็นแหล่งนำเข้าอันดับสอง รองจากการนำเข้าสินค้าจีนโดย และส่วนใหญ่การค้าขายชายแดนไทย-เมียนมาจะผ่านช่องทางการค้าชายแดนบริเวณด่านชายแดน อ. แม่สอด จ.ตาก เป็นหลัก แต่ก็เริ่มจะมีการซื้อสินค้าผ่านมาอีคอมเมิร์ช โดยเฉพาะผ่านเฟชบุ๊คมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นและความงาม
ท่ามกลางโอกาสก็มีอุปสรรค
การที่ชาวเมียนมายังคงนิยมใช้เงินสดในการซื้อสินค้าเป็นหลัก โดยมีประชากรที่เคยซื้อสินค้าหรือทำธุรกรรมออนไลน์เพียง 3.6% และรัฐบาลเมียนมายังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ชัดเจน
อีกทั้ง การทำธุรกรรมผ่านออนไลน์จากการที่ยังไม่เข้าสู่ระบบธนาคาร แม้ว่าจะเริ่มสถาบันการเงินท้องถิ่นที่เริ่มให้บริการ Internet Banking และ Online Payment เพิ่มมากขึ้น เช่น CB Pay, KBZ Pay และมีการขยายตัวของธุรกิจ Fintech เช่น Wave Money, True Money และ OK Dollar แต่ก็ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะประชาชนขาดความมั่นใจในระบบธนาคารและเทคโนโลยีการทำธุรกิจการเงิน

นอกจากนี้ ปัญหาระบบขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ในเมียนมายังขาดประสิทธิภาพ ทำให้การจัดส่งสินค้าใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงเกิดปัยหาจัดส่งไม่ตรงตามกำหนดเวลานัดหมาย รวมถึงสินค้ามีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายระหว่างการขนส่ง ตลอดจนปัญหาต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ในวันว่างๆ ที่เครียดๆกับ COVID-19 การมองหาลู่ทางการค้า การลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ดูบ้างก็ไม่เสียหาย
เพราะตลาดนี้ถือว่ายังใหม่มาก
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบเพื่อวางแนวรับมือป้องกันและแก้ปัญหาอุปสรรคดังกล่าวไว้ด้วย เพราะขึ้นชื่อว่าตลาดใหม่ ย่อมไม่ง่ายๆอย่างใจคิด