ทวนเข็มนาฬิกากลับไปเมื่อปี 2451 (ปลายรัชกาลที่ 5) หรือ 112 ปีที่แล้ว เป็นปีที่นายเลิศได้เริ่มเปิดบริการเดิน“รถเมล์”สาธารณะเป็นครั้งแรก ด้วยคอนเซ็ปต์จากมันสมองของเขาเองที่ต้องการสร้างประทับใจให้กับผู้คนทั่วพระนครในเวลานั้น
ชูความโดดเด่นด้วยตัวรถเป็นสีขาว พนักงานขับรถในชุดยูนิฟอร์มสีขาวสะอาด ข้างรถมี ‘ยี่ห้อ’ วงกลมสีแดง คล้ายขนมกง ภายใต้มุมมองอันแหลมคมของนายเลิศที่เน้นนโยบาย(วิสัยทัศน์)ที่ได้ตั้งไว้ คือ “สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรแต่น้อย บริการผู้มีรายได้น้อย”
จนเป็นที่กล่าวขานและเรียกความประทับใจให้จากผู้คนทั่วทั้งพระนครในเวลาเป็นอย่างดี จนช่วงบั้นปลายชีวิต นายเลิศได้ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวคือ “ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ” เข้ามาช่วยกิจการของตนเอง
และในปี พ.ศ.2488 ท่านผู้หญิงก็ได้สานธุรกิจต่อจากพ่ออย่างเต็มตัว และยังคงรักษานโยบายของนายเลิศไว้ทุกประการในฐานะ ‘รถเมล์ขาว’ ที่พนักงานขับรถ-เก็บค่าโดยสารจะบริการด้วยความสุภาพและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อีกทั้งผู้ใช้บริการผู้มีรายได้น้อยก็เข้าถึงการบริการที่ประทับใจในราคาประหยัด ทันใจ
กว่า 3 ทศวรรษที่ท่านผู้หญิงสืบสานและต่อยอดธุรกิจรถเมล์ขาวต่อจากพ่อ พัฒนาระบบและริเริ่มเรื่องใหม่ๆ เช่น เปลี่ยนเครื่องยนต์เบนซินมาเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเป็นรายแรกของประเทศไทย เปิดเดินรถโดยสารปรับอากาศในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
จนกิจการขยายและเติบโตขึ้นทั้งจำนวนรถและเส้นทางเดินรถ จนจำนวนรถเมล์เพิ่มขึ้นเป็น 800 คัน ออกวิ่งใน 21 เส้นทาง มีพนักงานมากกว่า 4,000 คน จนในปี พ.ศ.2518 สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายรวมกิจการขนส่งสาธารณะทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันภายใต้การดำเนินงานของรัฐ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา‘รถเมล์ขาว’ ก็ต้องยุติการเดินรถและจำต้องขายรถเมล์ให้กับรัฐ เหลือไว้เพียง ‘ตำนานรถเมล์ขาวนายเลิศ’ ให้คนไทยได้เล่าขานเป็นตำนานจวบถึงทุกวันนี้
ครั้นตัดภาพและอารมณ์ถึงรถเมล์ ณ บัดนี้ช่างแตกต่างยังกะหน้ามือเป็นหลังเท้า และเชื่อเหลือเกินว่าผู้ใช้บริการรถเมล์ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐในนาม“ขสมก.”หรือแม้แต่รถร่วมขสมก.เองก็ตามทีเหอะ ต่างก็ต้องร้องยี้ไปตามๆกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวรถที่เก่าเข้าขั้นรถเมล์มรดกโลก การบริการน่ะหรือเข้าขั้น “บัดซบ”
ครั้นจะเปิดประมูลรถเมล์ใหม่กว่าที่ประชาชนจะมีบุญพาวาสนาส่งได้นั่งรถเมล์ใหม่ก็กินเวลากว่า 10 ปีท่ามกลางวังวนอุบาทว์ที่มีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล-ข้อกล่าวหาทุรจิตคอร์รัปชั่น- ยกเลิกการประมูล-ประมูลใหม่ซ้ำซาก กลายเป็นมหากาพย์ที่สังคมเอือมระอาหนัก
ส่วนการบริการจัดการอย่างที่เราทราบเวลานี้ขสมก.แบกหนี้ท่วมหัวนับแสนล้านเข้าแผนฟื้นฟูรอบแล้วรอบเล่าก็ยังตกอยู่ติดอยู่ในวังวนอัปยศ “หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี” ประชาชนผู้ใช้บริการเพรียกหามิติใหม่รถเมล์ไทยที่ถูกใจผู้ใช้บริการ…น่ะหรือ!?
…ยังต้องหาวเรออย่างไร้ความหวัง!
:ปีศาจขนส่ง