ในช่วงที่ฝุ่นพิษปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ทำร้ายประชาชนอย่างรุนแรง จนหลายคนเจ็บไข้ได้ป่วยแบกตัวเองเข้าโรงพยาบาล เพราะเกิดอาการแพ้ฝุ่น และมีการไออย่างเรื้อรัง
แน่นอนว่า ทุกวันนี้ “คนกรุงเทพเมืองฟ้าอมร” ต่างใส่หน้ากากเข้าหากันโดยแท้จริง เพราะต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ
แต่วิกฤตฝุ่นพิษครั้งนี้ ได้สร้างโอกาสให้กับหลายๆ หน่วยงาน ที่เห็นได้เด่นชัดสุด คงหนีไม่พ้น “องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.” เพราะจะได้จัดหารถใหม่ที่ใช้พลังงานสะอาดมาทดแทนรถเก่าได้
“ขอบคุณครับฝุ่น PM 2.5” คำๆ นี้ ไม่มีผู้บริหาร ขสมก. คนใดกล่าว แต่ลึกๆ ในใจของ ขสมก. แล้วอาจจะถือว่า “วิกฤตได้สร้างโอกาส” ให้แผนการฟื้นฟูองค์กรประสบความสำเร็จก็เป็นไปได้
ล่าสุด มีแว่วๆ มาว่า ขสมก. เตรียมจัดซื้อรถเมล์ไฮบริดมาอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาหนี้และฟื้นฟูองค์กร รวมทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยขจัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วย
แหล่งข่าวในวงการรถโดยสาร เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ทำการประชุมร่วมกับผู้บริหารของ ขสมก. เกี่ยวกับการติดอุปกรณ์เพื่อดูแลความปลอดภัยในรถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน และจากการที่ได้ทำการสรุปรายละเอียดทั้งหมดแล้วทางคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ขสมก. ได้เอ่ยปากมาว่า ภายหลังจากการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถเมล์ NGV เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เตรียมติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ในรถโดยสารแบบดีเซลและไฟฟ้า หรือไฮบริด (HINO HYBRID) อีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะเป็นรถโดยสารยี่ห้อฮีโน่
ตามแผนการฟื้นฟูองค์กร ที่ทางขสมก. ได้แสดงกับทางรัฐบาลนั้น จะมีรถเมล์เครื่องยนต์ไฮบริดเป็นจำนวน 1,600 คัน ที่จะมาวิ่งให้บริการคนกรุงเทพฯ และปริมลฑล ไว้ด้วย โดยจะมีรถเมล์ NGV จำนวน 489 คันเป็นตัวนำทางไปก่อน ซึ่งทุกคันที่มาวิ่งจะต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ และระบบช่วยบอกทาง รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยจากกล้องวงจรปิดที่บอกพฤติกรรมของคนขับและพฤติกรรมของผู้โดยสารให้ทาง ขสมก. ได้ทราบด้วย
ด้าน แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท ฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าทาง ขสมก. จะยังไม่มี TOR เรื่องรถโดยสารไฮบริดออกมา แต่ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจว่า รถโดยสารฮีโน่ ไฮบริด จะต้องชนะการประมูลและสามารถนำมาวิ่งให้บริการกับประชาชนทั้งในกรุงเทพและปริมลฑลแน่
ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการนำรถโดยสารเครื่องยนต์ดีเซลไฮบริด จากประเทศญี่ปุ่น มาให้ทาง ขสมก. ทดสอบ จำนวน 3 คัน ซึ่งได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ทางบริษัทฯ เห็นว่ายังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงให้เข้ากับประเทศไทย จึงส่งรถโดยสารทั้ง 3 คันนั้นกลับไปยังประเทสญี่ปุ่นก่อน ซึ่งต่อมาได้นำเข้าเครื่องยนต์ไฮบริดและแชสซีส์จากญี่ปุ่นเพื่อประกอบในประเทศ และให้ทางขสมก. ได้ทำการทดสอบอีกจำนวน 2 คัน ซึ่งทุกอย่างได้ผ่านการทดสอบและสามารถลดต้นทุนให้กับ ขสมก. ได้เป็นอย่างมาก
ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้เตรียมนำเข้าเครื่องยนต์ไฮบริดและแชสซีส์เข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ทางอู่เชิดชัยอุตสาหกรรมที่จังหวัดโคราช และอู่มีแสงกรุ๊ปที่บ้านโป่งราชบุรีเป็นผู้ประกอบตัวถัง พร้อมทั้ง ทางขสมก. จะเป็นผู้คัดเลือกให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น GPS, กล้องวงจรปิด, จอ LCD และ Wi-Fi ซึ่งคาดว่า ยี่ห้อไดสตาร์จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน
BY…มุมมืด