นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (28 พ.ย.2561) กนอ.ได้นำคณะภาคเอกชนไทยและต่างประเทศ จำนวน 18 ราย ลงพื้นที่โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) เพื่อให้เอกชนที่ซื้อซองประกวดราคาได้เข้าไปสำรวจและศึกษากายภาพของพื้นที่เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการในการจัดทำข้อเสนอทางเทคนิค และราคา ตามเงื่อนไขการยื่นประมูลการร่วมลงทุนตามรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) Net Cost ซึ่ง กนอ.ได้กำหนดให้มีการยื่นข้อเสนอในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 และคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกได้ในราวเดือนมีนาคม 2562 เพื่อเข้าพัฒนาและสามารถเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2568
สำหรับเอกชนที่เข้าซื้อซองประกวดราคา และลงพื้นที่ศึกษาโครงการท่าเรือฯมาบตาพุดระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) ในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 18 ราย ประกอบด้วย
ภาคเอกชนไทย จำนวน 10 ราย ประกอบด้วย
- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
- บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด
- บริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด
7.บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
8.บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
9.บริษัท ซีเอชอีซี (ไทย) จำกัด
10.บริษัท สหการวิศวกร จำกัด
ภาคเอกชนจีน จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
1.บริษัท China Railway Construction Corporation Limite
2.บริษัท China Harbour Engineering Co.,Ltd.
3.บริษัท ชิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด
4.บริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชั่น คอนสตรัคชั่น จำกัด
ภาคเอกชนญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย
1.บริษัท Mitsui & Co., Ltd.
2.บริษัท Tokyo Gas Co.,Ltd.
ภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย
1.บริษัท Vopak LNG Holding B.V.
2.บริษัท Boskalis International B.V.
สำหรับการพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 55,400 ล้านบาท แบ่งออกเป็นภาครัฐ 12,900 ล้านบาท และ เอกชน 42,500 ล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ช่วง ทั้งในการพัฒนาและการบริหารโครงการ
ทั้งนี้การพัฒนาช่วงที่1 เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 47,900 ล้านบาท โดย กนอ.จะเข้าร่วมลงทุนในมูลค่าไม่เกิน 12,900 ล้านบาท และ เป็นส่วนการลงทุนของภาคเอกชน 35,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาในส่วนขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องนํ้า และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือท่าเทียบเรือบริการ และท่าเรือก๊าซ รองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซได้ 10 ล้านตันต่อปี โดยเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าพัฒนาโครงการในช่วงที่ 1 จะได้รับสิทธิในการบริหารและพัฒนาพื้นที่ท่าเรือ (Superstructure) ประมาณ 200 ไร่ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารท่าเรือ และเพื่อรองรับการใช้บริการท่าเรือที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับแผนการพัฒนาในช่วงที่ 2 จะเป็นการลงทุนก่อสร้างท่าเรือ (Superstructure) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท โดยเอกชนจะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนและพัฒนาท่าเทียบเรือสินค้าเหลว รองรับปริมาณขนถ่ายสินค้าเหลว ได้ 4 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 และงานก่อสร้างพื้นที่หลังท่า จำนวน 150 ไร่ เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท เพื่อรองรับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
อย่างไรก็ตามในกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและตัดสินภาคเอกชนเพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว จะพิจารณาบนเงื่อนไขที่รัฐได้ผลตอบแทนสูงสุดทั้งในด้านราคาและเทคนิค เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่จะสามารถรองรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันท่าเรือฯมาบตาพุดแห่งนี้ ได้วางแผนที่จะพัฒนาเพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ( LNG) ในช่วงที่ 2 อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้และนำเข้าก๊าซ LNG ที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการเปิดเสรี LNG ในอนาคต