นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิค เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทมุ่งพัฒนาศักยภาพงานก่อสร้าง เน้นพัฒนาองค์กรให้มีผลิตภาพ (Productivity) ลดขั้นตอนการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น ควบคู่กับการบริหารแรงงานก่อสร้าง เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและสามารถส่งมอบงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ บริษัทบริหารต้นทุนวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ติดตามแนวโน้มราคาและวางแผนการสั่งซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อลดต้นทุนก่อสร้าง ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้ารับงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่ ครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทมุ่งเน้นดำเนินงานก่อสร้างได้ตามแผน และ ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 1 ช่วง เด่นชัย-งาว และสัญญา 2 ช่วงงาว-เชียงราย, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำตามแนวคลองมหาสวัสดิ์จากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ถึง ถ.ราชพฤกษ์, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองทวีวัฒนา บริเวณคอขวด, โครงการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินร่วมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง, โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก), งานก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองแอ่ง จังหวัดตราด และ งานก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง
ด้านงานต่างประเทศ บริษัทได้เข้าพื้นที่ก่อสร้าง งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง สปป.ลาว เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงไตรมาส 2/2566 ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณงานในมือที่รอรับรู้รายได้ทั้งหมด (Backlog) จำนวน 9,779.43 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566) โดยจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2572
บริษัทมีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศ 99.20% และ ต่างประเทศ 0.80% โดยแบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานก่อสร้างอุโมงค์ 49.80%, งานก่อสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 17.48%, งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 0.21%, งานท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน 9.63%, และ งานอื่นๆ 22.88% อาทิ งานก่อสร้างถนน, งาน Slope Protection เป็นต้น
“สำหรับภาพรวมธุรกิจเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการกลับมาดำเนินงานก่อสร้างได้ตามแผน โดยบริษัทยังคงพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารโครงการต่อเนื่อง อาทิ ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น, ใช้ผู้รับเหมาช่วง (Subcontract) และ บริหารแรงงานให้เพียงพอในแต่ละโครงการ รวมถึงเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของบุคลากรในองค์กร ประกอบกับปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนงานให้สอดคล้อง ส่งผลให้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น และ คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง” นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติม