NEDA ลุยยกระดับถนน NR67 ระยะทาง 134 กม. วางงบลงทุนกว่า 983 ล้าน หวังเชื่อมโยงคมนาคมไทย–กัมพูชาคาดตอกเสาเข็มกลางปี 66 แล้วเสร็จปี 68 หนุน “การค้า–การลงทุน-การท่องเที่ยว”
นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. (เนด้า) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติวันนี้ (23 ส.ค. 2565) เห็นชอบให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมกันผลักดันการยกระดับและปรับปรุงถนน NR67 เชื่อมโยงจากประเทศไทยบริเวณช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และช่องจวม อ.อันลองเวง จ.อุดรเมียนเจย ไปยังเมืองเสียมราฐ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา ระยะทางรวม 134.68 กิโลเมตร (กม.)
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการ NR67 จะดำเนินการในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนของ สพพ. ในวงเงิน 983 ล้านบาทโดยกำหนดให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ภายใต้โครงการจากไทยไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าสัญญา รวมทั้งให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรที่ปรึกษาจากไทยเป็นหลักในการดำเนินโครงการ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปี2566 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี หรือแล้วเสร็จภายในปี 2568
สำหรับถนน NR67 ได้เริ่มก่อสร้างเส้นทางครั้งแรกในปี 2550 เพราะมีการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรจากฝั่งไทยเข้าไปดำเนินการก่อสร้าง โดยโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มใช้ประโยชน์ในปี 2552 ซึ่งมูลค่าการค้าและปริมาณจราจรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกรณีที่ยังไม่มีโครงการ อาทิ เมื่อปี 2549 (ก่อนมีโครงการครั้งแรก) มีมูลค่านำ–ส่งออก รวม 291.99 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2564 มีมูลค่านำเข้าและส่งออก รวม 2,085.80 ล้านบาท ทั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการส่งเสริมให้มีการขยายตัวด้านการค้าชายแดน การขนส่งสินค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวทั้งในไทยและกัมพูชามากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยมูลค่าการค้า สภาพปริมาณจราจรปริมาณยานพาหนะบริเวณจุดผ่านแดนช่องสะงำได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
โดยการยกระดับและปรับปรุงดังกล่าว เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รองรับปริมาณการจราจร กระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเชื่อมโยงเส้นทางในประเทศกัมพูชาระหว่างเมืองที่สำคัญ ได้แก่ พนมเปญ–เสียมราฐ–บันเตียเมียนเจย ผ่านทางหลวงหมายเลข 6 (NR6) ของกัมพูชา โดยพัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และทางหลวงอาเซียนสาย AH1 ผ่านทางหลวงหมายเลข 5 (NR5) (กรุงพนมเปญ–ปอยเปต) อีกทั้ง ยังสามารถเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาครวมทั้งส่งเสริมบทบาทของไทยในการให้ความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาค เพิ่มโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
นายพีรเมศร์ กล่าวต่ออีกว่า โครงการ NR67 จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตลอดอายุของโครงการในแง่ของมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ยานพาหนะ มูลค่าประหยัดเวลาในการเดินทาง และมูลค่าจากการลดค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุรวมประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี กระตุ้นการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการยกระดับ NR67 โดยเฉพาะชาวกัมพูชาจำนวน47,833 คน หรือ 10,229 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทาง จำนวน 38 หมู่บ้าน 12 ตำบล 4 อำเภอ ของจ.อุดรเมียนเจย และ จ.เสียมราฐ สามารถเข้าถึงสถานศึกษาและสถานบริการสาธารณสุขตามแนวเส้นทางได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถนนสาย NR67 จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชาในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากอีสานใต้ไปยังกัมพูชา(บุรีรัมย์–สุรินทร์–ศรีสะเกษ–เสียมราฐ) เป็นกลุ่มๆ หรือ Cluster ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดีนครวัด หรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการผลักดันให้เกิดการพัฒนาเส้นทางเดินรถระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดแนวเส้นทาง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และการให้บริการรถโดยสาร เป็นต้น