สายการบินไทยสมายล์ ประกาศความพร้อมบริการ Smile Cargo สู้ศึกตลาดขนส่งทางอากาศในประเทศ วางแผนขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมแต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้น ดันศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศภายในประเทศและระหว่างประเทศ ผลักดัน 5 บริการ ตอบสนองความต้องการลูกค้ารองรับการขยายตัวธุรกิจโลจิสติกส์
นางชาริตา ลีลายุทธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ไทยสมายล์ได้ปรับกลยุทธ์ขยายธุรกิจและได้เล็งเห็นโอกาสเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งสามารถต่อยอดจากธุรกิจการบินของบริษัทฯ ได้รวดเร็ว จึงได้หันมารุกตลาดให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ ภายใต้ชื่อ สมายล์ คาร์โก้ (Smile Cargo) ขยายธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา โดยให้บริการครอบคลุม 10 จังหวัดหลักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) เชียงราย เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ และสงขลา (หาดใหญ่)
ในปี 2564 สมายล์ คาร์โก้ (Smile Cargo) ได้ขยายบริการให้ครอบคลุมต่อรูปแบบความต้องการที่หลากหลาย โดยดำเนินงานร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอวินดัส จำกัด เน้นย้ำการใส่ใจด้านบริการ รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ในการรับสินค้า ณ สถานีปลายทางได้ภายใน 24 ชม. ซึ่งได้นำร่องบริการและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจรายย่อย หรือ เอสเอ็มอี ในไตรมาสแรกของปีนี้ สมายล์ คาร์โก้ (Smile Cargo) ได้ให้บริการขนส่งสินค้าเฉลี่ย 500 ตัน ต่อเดือน สินค้าที่ได้รับความนิยม คือสินค้าประเภทที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหารสด อาหารทะเล เครื่องประดับ เป็นต้น ปัจจุบัน สมายล์ คาร์โก้ (Smile Cargo) มีจุดให้บริการ 10 แห่ง โดยคิดค่าธรรมเนียมในการขนส่งสินค้าเริ่มต้นที่ราคา 100 บาท (ยกเว้น สินค้าที่ออกจาก กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) เชียงใหม่ และภูเก็ต)
สำหรับ 5 บริการขนส่งทางอากาศที่ให้บริการปัจจุบัน ได้แก่
1. การขนส่งสินค้าทั่วไป ที่ไม่มีความจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ และไม่เป็นอันตรายต่อสินค้าอื่น เช่น เสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ สินค้าที่ส่งทางอากาศจะต้องบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรงทนต่อสภาพการขนส่ง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของ กล่องกระดาษ กระเป๋าเดินทาง กระสอบ หรือลัง เป็นต้น
2. การขนส่งสินค้าที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ที่จำเป็นต้องดูแลตามคุณลักษณะของสินค้าแต่ละชนิด มิฉะนั้นอาจเกิดการเสียหายได้ ท่านที่ต้องการขนส่งที่รวดเร็วและสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้า เช่น สินค้าที่แตกหักง่าย สิ่งมีชีวิต (เช่น ปลาสวยงาม หรือพันธุ์กุ้งต่างๆ) สินค้าของสด ของมีค่า สินค้าที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ สินค้าน้ำหนักมาก หรือมีขนาดใหญ่มาก เป็นต้น
3. การขนส่งสินค้าอันตรายหรือสินค้าเคมี ที่จำเป็นต้องแยกเก็บในพื้นที่เฉพาะ และในการจัดเก็บจะต้องจัดเก็บตามกฎ IATA Dangerous Goods Regulations (IATA DGR) อย่างเคร่งครัด เช่น สิ่งของหรือวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเคมี และทางกายภาพ ที่อาจก่อเกิดอันตรายต่อมนุษย์ ทรัพย์สิน หรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ สินค้าจะต้องถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ก่อนทำการรับสินค้า
4. การขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจ ที่ต้องการส่งสินค้าจำนวนมากหรือวัตถุดิบต่างๆ ไปยังบริษัท, โรงงาน หรือสาขาย่อยทั่วประเทศ
5. การขนส่งสินค้าแบบเช่าเหมาลำ ซึ่งสามารถกำหนดเวลา ต้นทางและจุดหมายปลายทางได้ตามความต้องการ ทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งการให้บริการเป็น 2 แบบ ได้แก่ การขนส่งสินค้าแบบใต้ท้องเครื่องเพียงอย่างเดียว และ การขนส่งทั้งแบบภายในห้องโดยสารและใต้ท้องเครื่อง
“ในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจรายย่อยเป็นหลัก โดยมีแผนที่จะขยายพื้นที่การบริการให้ครอบคลุมแต่ละจังหวัดมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากพื้นที่ให้บริการเดิม 10 จังหวัด และเพิ่มบริการแบบ Door-to-Door ให้มากขึ้น จากในปัจจุบันมีให้บริการเฉพาะที่สงขลา (หาดใหญ่) เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายการให้บริการไปยังต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเส้นทาง รวมทั้งการทำ Interline กับสายการบินอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และมองหาพันธมิตรใหม่เพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและรองรับการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์ในอนาคต“ นางชาริตา กล่าวสรุป