อินเดียกำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจบริการคลังสินค้าสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลอินเดียพยายามยกระดับการผลิต
ภายในประเทศ ประกอบกับการขยายตัวของการค้าออนไลน์ภายหลังจากภาวะโควิดที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและกระจายสินค้ารองรับการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตและการจัดส่งที่รวดเร็ว
การศึกษาของ ICRA พบว่าในช่วงปี 2559 – 64 พื้นที่ให้เช่าสำหรับการจัดเก็บสินค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ
ประมาณ 17% โดยส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมืองหลักของรัฐมหาราชฏระ คุชราต และกรณาฏกะซึ่งเกิดจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการค้าออนไลน์ รวมทั้งความสนใจของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาลงทุนในสินทรัพย์ถาวรอย่างคลังสินค้าซึ่งสามารถสร้างค่าตอบแทนระยะสั้นได้ดี
ในช่วงปี 2564 – 69 คาดว่าธุรกิจคลังสินค้าในอินเดียจะขยายตัวเฉลี่ยปีละประมาณ 19% สอดคล้องกับ Savills
India บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความเห็นว่า อินเดียจะมีความต้องการคลังสินค้าเพิ่มขึ้น 15-20% ในช่วง 3 – 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะใน 8 เมืองใหญ่ ทั้งนี้ จะต้องการคลังสินค้าที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย
ไม่เพียงแต่นักลงทุนภายในประเทศอย่าง Mirae Asset Credit Opportunities, Adani Logistics, Mahindra Logistics และ Prakhhyat Group ที่ใช้โอกาสช่วงนี้ในการลงทุนในธุรกิจคลังสินค้า ผู้ประกอบการต่างชาติก็ทยอยเข้ามาทำธุรกิจนี้ด้วย อาทิ Prologis, Maersk South Asia, IndoSpace group, ESR Group, Blackstone Group และ Ascendas-Firstspace ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Prologis ที่ถือครองพื้นที่คลังสินค้ามากที่สุดในโลก ได้เข้าไปลงทุนและจ้างอดีตผู้บริหารของ Morgan Stanley Real Estate ให้เข้ามาบุกเบิกตลาดคลังสินค้าในอินเดีย เช่นเดียวกับกลุ่ม Panattoni India ที่เข้ามาเปิดสำนักงานที่เมืองบังกาลอร์ มุมไบ และเดลี ตามลำดับ เพื่อดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณจำนวนกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกัน ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์เองก็มีการพัฒนาระบบคลังสินค้าของตนเองด้วยเช่นกัน อาทิ Amazon,
Flipkart JioMart, Tata Digital, Nykaa, Meesho, Udaan, DealShare Meesho, Shopsy และล่าสุดรัฐบาลอินเดียได้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อการค้าออนไลน์ของตนเองด้วยชื่อว่า Open Network for Digital Commerce (ONDC) นอกจากนี้ การค้าออนไลน์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่มีการใช้ Virtual Reality (VR) ด้วย ซึ่งน่าจะทำให้ยอดการสั่งและส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่แพลตฟอร์มเพื่อการค้าส่งแบบ B2B e-Commerce ก็กำลังขยายตัวด้วย ธุรกิจคลังสินค้าในอินเดียจึงเป็นกิจการที่มีแนวโน้มที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ รายงานของ CREDAI & Anarock’s India Warehousing Report ระบุว่าธุรกิจคลังสินค้ามีอนาคตที่ค่อนข้างสดใส (Sunrise Sector)และระบุว่าปัจจุบันอินเดียมีคลังสินค้าเกรด A อยู่ประมาณ 46ล้านตารางฟุตโดยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองทางภาคตะวันตกและภาคใต้ ได้แก่ Mumbai, Pune, Bangalore, Chennai, Ahmedabad รวมถึง Dehli ส่วนอีก10 ล้านตารางฟุตอยู่ในเขตเมืองรอง ได้แก่ เมือง Indore, Kochi, Coimbatore, Lucknow, Maduraiและ Varanasi เป็นต้น ซึ่งคลังสินค้าเหล่านี้มีลูกค้าเป้าหมายคือ ธุรกิจการค้าออนไลน์ โรงงานในเขตอุตสาหกรรม และ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ Third-party logistics(3PL)
จากข้อมูลสถิติยังพบว่า มีความต้องการที่ต้องเติมเต็มอีกมากในเขตชานเมืองใหญ่ได้อีก อาทิ เขต Bhiwandi ของ
เมืองมุมไบ รวมถึงเมืองรอง โดยเฉพาะเมืองท่าและเขตเศรษฐกิจพิเศษ อาทิ Trivandrum, Mangalore, Panaji, Nagpur,Kolhpur, และ Kolkata ยกตัวอย่างเช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ MIHAN-SEZ ในเมือง Nagpur ของรัฐมหาราชฏระ เป็นต้น โดยรัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรงในธุรกิจนี้ โดยถือหุ้นได้สูงสุดถึง 100%
ด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย แนะนำว่า ผู้ประกอบการ
ไทยควรมีการนำนวัตกรรมและระบบการจัดการที่ได้มาตรฐานสากลเข้าไปใช้ด้วย เพื่อสร้างความได้เปรียบในระยะยาวและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อาจมีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศด้วย นอกจากนี้อาจมีการให้บริการจัดเก็บและกระจายสินค้าไทย รวมถึงการนำสินค้าไทยเข้าไปทดลองตลาดในอินเดีย และจัดการแสดงสินค้าไทยได้ด้ว
แหล่งที่มา www.moneycontrol.com, www.business-standard.com,
www.financialexpress.com สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย