ช่วงต้นเดือนตุลามคมที่ผ่านมา ทาง ‘TICON ’ ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ได้มีการโชว์ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2561 ปิดดีลลูกค้าใหม่คว้าบริษัทยักษ์ใหญ่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า อาทิ ดีเดชแอล (DHL) ซีว่า ลอจีสติกส์ (CEVA Logistics) เพาเวอร์บาย (Power Buy) ออโต้ลีฟ (Autoliv) ฟอมม์ (FOMM) พร้อมซินเนอร์จี้พันธมิตรในเครือทีซีซี กรุ๊ป รวมทั้งสิ้นกว่า 200,000 ตารางเมตร
รวมทั้งก่อนหน้านี้ TICON ได้จับมือกับบริษัท จัสท์โค (JustCo) จากสิงคโปร์ ผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับพรีเมี่ยมอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเสริมแกร่งธุรกิจ นับเป็นโอกาสสำคัญของไทคอนในการพัฒนาแพลตฟอร์มธุรกิจของตนให้ดียิ่งขึ้นผ่านบริการต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยเชื่อมั่นว่าด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดประเทศไทย ตลอดจนเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ของไทคอน จะส่งผลให้การร่วมทุนครั้งนี้สามารถเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน และช่วยให้การเข้ามาดำเนินธุรกิจ และขยายเครือข่ายของจัสท์โคในประเทศไทยเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
คุณโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON กล่าวว่า ไทคอนได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ ไทคอนมีลูกค้าเข้าใช้บริการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าคุณภาพสูง เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้นกว่า 200,000 ตารางเมตร ซึ่งพื้นที่ที่ลูกค้าให้ความสนใจมากที่สุดยังคงเป็นพื้นที่ในเขตบางพลีและเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาโครงการคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ หรือ Build to Suit รูปแบบใหม่ๆ ที่นอกจากจะเป็นการเช่าพื้นที่ระยะยาวมากขึ้นแล้ว ยังจะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในอาคาร ทั้งนี้คาดว่าจะมีลูกค้าทั้งในเครือทีซีซี กรุ๊ปและนอกกลุ่ม โดยคิดเป็นพื้นที่รอการพัฒนารวมอีกกว่า 150,000 ตารางเมตร
โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในทำเลยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์รวมกว่า 50 แห่งทั่วประเทศและมีที่ดินพร้อมพัฒนาในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กว่า 1.5 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้ไทคอนยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าจำนวนร้อยละ 71 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลูกค้ามากกว่าร้อยละ 85 ยังคงเป็นบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น เยอรมัน และสิงคโปร์ ที่ประกอบธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ นายโสภณมีความเห็นว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเริ่มขยายตัวดี ทั้งนี้กลุ่มบริษัทชั้นนำและผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจในการเช่าอาคารแบบ Build-to-Suit มากขึ้น เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัยเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมยุคดิจิทัล สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจของไทคอนที่มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงสุดมาใช้ในการพัฒนาอาคารและมาใช้ในการต่อยอดธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ตอกย้ำการเป็นผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม