นายปริญญา แสงสุวรรณ ประธานกรรมการ กทท. ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กทท. ครบรอบ 72 ปี โดยได้มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศล เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,000,000 บาท ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สมาคมคาทอลิคแห่งประเทศไทย มัสยิดอินดารุลมีนา ชมรมผู้สูงอายุของ กทท. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของ กทท. และนอกจากนี้ยังมอบเงินจำนวน 50,000 บาท บริจาคให้แก่วัดคลองเตยนอก เพื่อนำไปสนับสนุน “โครงการปันน้ำใจให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง” และ “โครงการช่วยเหลือศพอนาถาในเขตคลองเตย” พร้อมเชิญชวนหน่วยงานภายนอกร่วมสมทบทุนให้แก่วัดคลองเตยนอกแทนการมอบกระเช้าแสดงความยินดีอีกด้วย ในการนี้มีคณะกรรมการ กทท. นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. คณะผู้บริหาร กทท. และพนักงาน กทท. หน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้บริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้นำชุมชน ผู้เช่าพื้นที่ ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมในพิธีฯ ณ PAT Arena
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า กทท. เป็นรัฐวิสาหกิจสาธารณูปการภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม มีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจในฐานะการเป็นประตูการค้าหลักและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์และบริหารจัดการท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สำหรับแนวนโยบายของ กทท. หลังจากนี้จะนำร่องด้วยการมุ่งพัฒนา 3T ประกอบด้วย การลดปัญหาการจราจรติดขัด (Traffic) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนธุรกิจการขนส่งสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) และสินค้าผ่านแดน (Transit) เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ทั้งภายในและต่างประเทศ พร้อมกันนี้ได้ชูนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมท่าเรือสีเขียวตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อพัฒนาท่าเรือสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ

ซึ่งขณะนี้ท่าเรือกรุงเทพได้มีการนำรถยกไฟฟ้า (Electric Forklift) จำนวนหนึ่งมาใช้ปฏิบัติงาน พร้อมกับการพัฒนาพื้นที่ 90 ไร่ บริเวณท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นจุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) เพื่อลดปัญหาการจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ นอกจากนี้ได้ดำเนินโครงการช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่องและวัดผลได้ อาทิ โครงการมอบทุนการศึกษายั่งยืนของ กทท. โครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ของชาวชุมชนโดยรอบ กทท. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โครงการสร้างฝาย “ฅน…เก็บน้ำให้แผ่นดิน” และโครงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการปลูกป่าชายเลนและอนุรักษ์ป่าบริเวณโดยรอบท่าเรือระนองและท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำกำไรเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคมเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืน
สำหรับโครงการต่างๆ ที่ยังสานต่ออีกหลายโครงการ ได้แก่ การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ การขับเคลื่อนพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ในจังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศ การศึกษาโมเดล Super Port การร่วมมือกับท่าเรือเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการพัฒนา Land Bridge เชื่อมสองฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามันที่จังหวัดระนองและชุมพรให้เป็นรูปธรรม รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้ ในส่วนที่ 1 ส่วนงานก่อสร้างทางทะเล ได้ทำการปรับแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการประกวดราคาอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ยื่นข้อเสนอผ่านคุณสมบัติเพียงรายเดียว คาดว่าจะสามารถได้ผู้รับจ้างภายในเดือนกันยายนนี้ และงานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนที่ 4 งานจัดหาเครื่องมือเครื่องจักร และติดตั้งระบบ IT อยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) เพื่อเร่งดำเนินการประกวดราคาต่อไป อย่างไรก็ตาม กทท. ได้มีการติดตาม กำกับ เร่งรัด และผลักดันการก่อสร้างโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของสัญญา
ด้านผลประกอบการ กทท. ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม 2566 – มีนาคม 2566) พบว่าผลการดำเนินงานของ กทท. มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง รวม 6,928 เที่ยว ลดลง 5% สินค้าผ่านท่า 55.97 ล้านตัน ลดลง 2.4% และตู้สินค้าผ่านท่า 4.81 ล้าน ที.อี.ยู. ลดลง 3.3% เนื่องจากเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศปี 2566 ขยายตัวต่ำกว่าปีก่อนหน้าทั้งการนำเข้าและส่งออก ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและจีน มีการเติบโตต่ำกว่าคาด และผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่สถิติปริมาณสินค้ารถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ปีงบประมาณ 2563-2566 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณรถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง เดือนตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566 อยู่ที่ 792,225 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า 25% คาดว่าตลอดทั้งปีจะมีปริมาณการขนส่งรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นสถิติที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ เป็นผลจากการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ขณะนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมจากผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ายอดการขนส่งสินค้าจะลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ กทท. ยังมีรายได้จากการประกอบการในส่วนอื่นๆ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ กทท. ระยะเวลา 6 เดือน มีรายได้สุทธิ 7,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.12% กำไรสุทธิ 3,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.41% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยตลอดปีงบประมาณ 2566 ตั้งเป้ากำไรประมาณ 6,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 72 ปี
นอกจากนี้ กทท. ยังเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้นำส่งรัฐสูงสุด 10 อันดับแรก ซึ่งปัจจุบัน กทท. นำเงินส่งรัฐ 70% ของกำไรสุทธิเพื่อคำนวนนำส่งรัฐ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา กทท. นำเงินส่งรัฐ ทั้งสิ้น 4,879 ล้านบาท และในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง (ปี 2555 – 2565) กทท. นำเงินส่งรัฐไม่น้อยกว่า 48,300 ล้านบาท เพื่อเป็นรายได้นำส่งแผ่นดิน อันเป็นกลไกในการช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการคลังของประเทศต่อไป