ปัจจุบันการปรับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน Carbon Border Adjustment Scheme (CBAM) กับสินค้านำเข้ากลุ่มเป้าหมาย (เหล็ก ซีเมนต์ ไฟฟ้า อลูมิเนียมและปุ๋ยฯลฯ) ในสหภาพ ยุโรปกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปกำหนดเป้าการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ภายในปี 2569 ซึ่งการใช้มาตรการ CBAM กับสินค้านำเข้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงในสหภาพยุโรปถือเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก (กระตุ้นให้ประเทศคู่ค้าตื่นตัวและกำหนดมาตรการที่สอดคล้องกัน)
ในปี 2555 ออสเตรเลียมีการเรียกเก็บภาษี Carbon Tax แต่ปัจจุบันภาษีดังกล่าวได้ถูกยกเลิกใน ปี2557 เนื่องจากเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง รวมถึงการผลักภาระภาษีให้แก่ผู้บริโภคเป็นผู้แบกรับ ทั้งภายใต้การบริหารของรัฐบาลนาย Albanese ได้ให้ความสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 อย่างจริงจัง โดยจัดสรรงบประมาณลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพัฒนาเทคโนโลยีการปล่อยมลพิษต่ำใน ภาคอุตสาหกรรมผลิตและการเกษตร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต พร้อมตั้งเป้าเป็นผู้ส่งออกสินค้าที่ผลิตจาก Clean energy รายใหญ่ (อาทิ Hydrogen, Ammonia, Steel และ Aluminium) และมีแนวโน้มสูงที่รัฐบาลออสเตรเลียจะปรับใช้มาตรการ CBAM กับสินค้านำเข้าในอนาคตอันใกล้
นาย Chris Bowen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ออสเตรเลีย ระบุว่า การพิจารณาปรับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนกับสินค้านำเข้าที่ปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสูงในกระบวนการผลิตเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญ รัฐบาลจึงต้องพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ บนพื้นฐานในการปกป้องอุตสาหกรรมผลิตในประเทศจากการเข้ามาทำตลาดออสเตรเลียของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมถึงรักษาศักยภาพทางการแข่งขันของสินค้าในประเทศ
ดังนั้น การปรับใช้ มาตรการ CBAM จึงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อประเทศ คู่ค้าสำคัญ อาทิ จีน ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การปรับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของออสเตรเลียยัง ต้องใช้เวลาเพื่อผ่านการเห็นชอบจากทุกฝ่าย คาดว่าจะสามารถสรุปแนวทางการปรับใช้ได้ภายในสิ้นปี 2566 และเป็นโอกาสสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออสเตรเลียในอนาคต
แหล่งที่มา : Australian Financial Review