จากข้อมูลของ eMarketer บริษัทวิจัยการตลาดของสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดแบบดิจิทัลได้คาดการณ์ว่า ยอดขาย E-commerce ของสหรัฐฯ ในปี 2565 นี้ จะมีมูลค่าถึง 1.05 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โตขึ้นกว่าร้อยละ 9.4 จากปี 2564 และ จากข้อมูลของ U.S. Census Bureau ยอดขายของตลาด E-commerce ในปีนี้เฉพาะในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง ได้เพิ่มขึ้นแล้วอย่างต่อเนื่อง กว่าร้อยละ 6.8 เทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ด้วยเหตุนี้ ตลาด E-commerce ของสหรัฐฯ นับว่ามีโอกาสเติบโตอีกมากเนื่องจากยังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนและพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยสัดส่วนของตลาดของ E-commerce สหรัฐฯ ในปัจจุบัน มีเพียงร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับยอดขายปลีกทั้งหมด ซึ่งหากเทียบกับ E-commerce ของจีน ที่มีสัดส่วนตลาด E-commerce ถึงร้อยละ 46 ของยอดขายปลีกทั้งหมดนั้น (ข้อมูลเพิ่มเติม: ยอดขายออนไลน์ของไทยมีประมาณร้อยละ 3 ของค้าปลีกทั้งประเทศ)
อย่างไรก็ตาม นับว่าตลาด E-commerce ของสหรัฐฯ ยังเติบโตไม่เต็มที่และยังมีช่องทางในการขยายได้อีกมาก จากปัจจัยทั้งขนาด เศรษฐกิจของสหรัฐฯ แนวโน้มการเปิดกว้างมากขึ้นของคนรุ่นใหม่และความเคยชิน ของการสั่งออนไลน์ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยประเภทสินค้าที่โตเร็วที่สุดในตลาด E-commerce ในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ สินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ ก่อสร้าง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งโตขึ้นกว่าร้อยละ 200 เทียบจากปี 2562 รองลงมา ได้แก่ สินค้าในกลุ่มอาหารและ เครื่องดื่ม ซึ่งโตขึ้นกว่าร้อยละ 170.8
eMarketer ยังคาดการณ์ว่า สำหรับหมวดหมู่สินค้าที่น่าสนใจในปี 2565 นี้ คือ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จะโตขึ้นกว่าร้อยละ 30.1 สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเป็นอันดับสองกว่าร้อยละ 20.7 ตามด้วยสินค้าประเภทเสื้อผ้าและ เครื่องประดับ ซึ่งจะโตขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 15.4
ทั้งนี้ ด้วยวิกฤตการณ์โควิดที่ผ่านมา มีผลทำให้ยอดขายออนไลน์ของรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เติมโตขึ้นอย่างมาก ผู้จำหน่ายรถยนต์รายหลายในสหรัฐฯ ได้เพิ่มช่องทางการ ขายแบบออนไลน์ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคในเมืองส่วนมาก เลือกที่จะใช้การเดินทางสาธารณะน้อยลง และมีความต้องการซื้อรถยนต์มือสองมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทซื้อ-ขายรถยนต์มือสอง เช่น Carvana และ Vroom เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยยอดขายของบริษัท Carvana ในปี 2564 นั้น โตขึ้นกว่าร้อยละ 128 และ คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นกว่าอีกร้อยละ 50 ในปีนี้
ด้านสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มนั้น พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้มีความคุ้นชิ้นกับการเลือกสั่งสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์มากขึ้น บริษัทผู้ค้าออนไลน์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Walmart Amazon และ Kroger ก็ได้ลงทุนในระบบซื้อ-ขายออนไลน์ รวมทั้งพัฒนาระบบขนส่งทันใจ (same-day delivery) ของตนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทรับ-ส่งอาหารจากร้านอาหาร เช่น DoorDash และ Uber Eats ก็เริ่มที่จะพัฒนาระบบของตนให้สามารถบริการการซื้อ-ขายสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้าน สะดวกซื้อด้วย ทั้งนี้ ในสหรัฐฯ ยังมีบริษัท Startup เกิดใหม่ เช่น Gopuff และ Gorillas ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์มีโกดังขนาดเล็กตามจุดต่าง ๆ (Micro-fulfillment centers) ซึ่งให้บริการส่งอาหารและเครื่องดื่มกับผู้บริโภคหลังจากสั่งซื้อได้ภายใน 15 นาที
ปัจจุบันบริษัทที่มีสัดส่วนในตลาดซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ของสหรัฐฯมากที่สุด คือ Amazon (ร้อยละ 23.8) Kroger (ร้อยละ 12.3) Target (ร้อยละ 4.9) และ Albertsons Cos. (ร้อยละ 4.9) ตามลำดับ
สำหรับสินค้าที่น่าจับตามองอีกหนึ่งประเภทในตลาด E-commerce ได้แก่ เครื่องประดับ โดยในปีที่ผ่านมา ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 88.6 ทั้งนี้ เนื่องจากราคาทองที่ลดลง รวมถึงการแต่งงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด ทำให้สินค้าในหมวดเครื่องประดับเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก
กระนั้น แม้ว่าในปี 2565 นี้ แนวโน้มยอดขายเครื่องประดับผ่านช่องทางออนไลน์จะมีแนวโน้มลดลง แต่คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีการขยายตัวขึ้นกว่าร้อยละ 20 และสัดส่วนยอดขายของสินค้าประเภทเครื่องประดับจากช่องทางออนไลน์ภายในปี 2568 จะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 30 ของ ยอดขายปลีกของสินค้าเครื่องประดับทั้งหมดในสหรัฐฯ สำหรับผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่มีปริมาณ ยอดขายมากที่สุดในสหรัฐฯ ได้แก่ Amazon ซึ่งมี สัดส่วนถึงร้อยละ 39.5 ของยอดขาย E-commerce สหรัฐฯ ทั้งหมด ตามด้วย Walmart Apple ebay Target และ Home Depot
นอกจากนี้ การซื้อ-ขายผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Instragram และ Tiktok หรือที่เรียกว่า Social Commerce ก็เป็นอีกหนี่งแนวโน้มสำคัญของการค้าออนไลน์ในสหรัฐฯ โดยจากการสำรวจของ eMarketer พบว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา กว่าครึ่งของประชากรชาวอเมริกันในช่วงอายุ 18-34 ซื้อสินค้าผ่าน ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างน้อยคนละหนึ่งครั้ง
โดยปี 2565 นี้ ยอดขายของสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 4.57 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าภายในปี 2568 ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวจะ ขยายตัวขึ้นถึง 7.96 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ด้าน GlobalWebIndex มีรายงานว่า การโฆษณาสินค้า ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในปัจจุบัน เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียประสบความสำเร็จ โดยพบว่ากว่าร้อยละ 70 ของผู้บริโภคได้รู้จักสินค้าใหม่ ๆ และซื้อสินค้านั้นตามอินฟลูเอนเซอร์ที่ตนติดตาม
ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้ ทำให้มองว่า การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นโอกาสสำคัญของสินค้าไทย สินค้าที่มีโอกาสเติบโตเร็วในตลาดดิจิทัลของ สหรัฐฯ มีหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งเครื่องประดับ ซึ่งล้วนเป็นสินค้า ส่งออกศักยภาพของไทย ผู้ประกอบการควรมองหาช่องทางในการขายสินค้าในรูปแบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์และ ซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ต่าง ๆ ของสหรัฐฯ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการขายโดยตรงผ่านโซเชียลมีเดีย หรืออาจเลือกใช้การโฆษณาสินค้าผ่านอินฟลูเอนเซอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเข้าถึงตัวสินค้า และเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
แหล่งอ้างอิง : U.S. Census Bureau News/ eMarketer/ Insider intelligence/
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ditp.go.th/