ข้อมูลจากวงในเปิดเผยว่าฝรั่งเศสในฐานะประธานคณะมนตรีของสหภาพยุโรป (EU) ได้เสนอให้ “ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป EU ควร ออกใบอนุญาตให้เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น และ ทุกฝ่ายควรจะพยายามแก้ไขช่องโหว่ทางกฎหมาย โดยต้องไม่ให้การยกเว้นไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม” ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับจากรัฐสภา EU และคณะมนตรี EU ของแต่ละประเทศเป็นอย่างดี
โดยฝรั่งเศสได้จัดทำและส่งข้อเสนอนี้ให้แก่ประเทศสมาชิกต่าง ๆ ได้พิจาณาในรายละเอียดเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าข้อเสนอฉบับนี้กลับไม่ได้ระบุถึงประเด็น (1) การยืดระยะเวลา (2) ข้อยกเว้น และ (3) เรื่อง E-Fuels ซึ่งหากกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการเห็นชอบจากประเทศสมาชิก EU ในที่สุด ก็ย่อมทำให้ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไปจะไม่มีการออกใบอนุญาตให้แก่รถยนต์ส่วนบุคคลที่ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบเก่าที่ยังสามารถผลิต CO2 ได้อีกต่อไป ซึ่งนั่นหมายความว่า ต่อไปรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนต่าง ๆ จะเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดนั่นเอง
ในส่วนข้อเสนอที่มีการประณีประนอมแล้วนั้น ก็ลดลงเหลือแค่ให้ “การรายงานภาวะผูกพัน” โดยคณะกรรมาธิการจะออกมาประเมินข้อเสนอฯ ในทุก ๆ 2 ปี ว่า มาตรการการฝึกอบรมสำหรับแรงงานในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว โดยเรื่องนี้เป็นข้อเสนอที่จัดทำขึ้นเพื่อประเทศ สมาชิก EU ในฝั่งตะวันตก ซึ่งประเทศเหล่านี้จะสูญเสียตำแหน่งการจ้างงานทันทีหาก EU ห้ามยอมให้มีการใช้เครื่องยนต์เผาไหม้แบบเก่าอีกต่อไป
เรื่องนี้ สมาพันธ์ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ยุโรป (Clepa) ได้ประเมินว่า ในช่วงแรกที่มีการห้ามใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ EU จะมีผู้ว่างงานทันทีกว่าครึ่งล้านคน โดยเยอรมนีน่าจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบเยอะ และอาจไม่พอใจกับข้อเสนอดังกล่าว
ด้านนาง Steffi Lemke รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า “รัฐบาลในปัจจุบันให้การสนับสนุนแผนข้อเสนอนดังกล่าวของคณะกรรมาธิการ EU” และ ถึงแม้ว่าในพรรคเพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตย (FDP – Freie Demokratische Partei) ต้องการ ที่จะให้มีการระบุถึง E-Fuels ไว้ในสัญญาเพื่อการจัดตั้งรัฐบาล (Koalitionsvertrag) กล่าวคือ “นอกจากในระบบการกำ หนดค่าปล่อย CO2 ของรถยนต์ แบบที่กำหนดอยู่ในปัจจุบันแล้ว ภาครัฐก็ไม่ควรที่จะปิดกั้นไม่ให้ยานยนต์ E-Fuels ที่สามารถตอบสนอง ข้อกำ หนดนี้ได้ออกสู่ตลาด”
อย่างไรก็ดี ในรัฐสภาของ EU ก็มี สส. จำนวนหนึ่งที่ต้องการให้ยังคงมีการอนุญาตให้ใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ต่อไป หากรถยนต์เหล่านี้ใช้งาน E-Fuels ที่สะอาด
นาย Jens Gieseke สส. ของพรรค CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands (พรรคสหภาพคริสต์เตียน เพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี) เปิดเผยว่า “แน่นอนที่เราต้องการอนุรักษ์สภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อม แต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะเปิดใจรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และไม่ควรที่จะให้เหตุผลทางการเมือง และอุดมคติมากีดกันความเปิดกว้างด้านเทคโนโลยีได้”
ด้านนาง Gitta Connemann สส. จากพรรค CDU ออกมาเตือนว่า “การสร้างภาวะผูกพันในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการบังคับของภาคการเมืองนั้น จะทำ ให้เกิดปัญหาที่มาตามได้ หากการผลิตไฟฟ้า การจัดเก็บพลังงาน และ การก่อสร้างเครือข่ายยังไม่ พัฒนาตัวให้สอดคล้องกัน” อย่างไรก็ตาม CDU ก็ไม่น่าจะมีกำลังมากพอที่จะต่อต้านกำลังของพรรคร่วม อื่น ๆ ใน EU ได้ โดยคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อมของ EU ได้รับเสียงข้างมากตอบรับร่างกฎหมายที่มี ความไกล้เคียงกับร่างที่คณะกรรมาธิการ EU ได้แจ้งออกมาเรียบร้อยแล้ว
สำหรับ ความหวังสุดท้ายอยู่ที่การได้รับ เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา EU ในเรื่องของการลด ค่าการจำกัดการปล่อย CO2 ระหว่างขับเคลื่อน จาก 100% เหลือ 90% ซึ่งจะทำ เป็นโอกาสที่ผู้ ผลิตรถยนต์หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก และ ในเวลาเดียวกันก็ยังสามารถผลิตรถยนต์ที่ขับ เคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงเผาไหม้ออกมาจำ หน่ายได้บ้าง หรือไม่ก็อาจจะมีการผลักดันให้ EU กำหนดค่าคำนวณสำหรับ E-Fuels ออกมา ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์สามารถส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า CO2 เป็นกลาง ออกสู่ตลาดได้ และทำให้สามารถลดค่า Carbon Footprint ที่ไม่ดีของรถยนต์ลงได้ เป็นต้น ซึ่งร่างข้อเสนอนี้ ได้รับการตอบรับในคณะกรรมการด้านคมนาคม แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการ ด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึง E-Fuels จะพบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงประดิษฐ์ที่มีราคาแพงกว่าน้ำ มันเบนซิน เพราะต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการผลิตทำให้นักอนุรักษณ์ธรรมชาติออกมาต่อต้านการใช้งาน E-Fuels ในพื้นที่ที่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าอย่างการใช้แบตเตอรี่ในรถยนต์ส่วนบุคคล เป็นต้น
แหล่งที่มา : Handelsblatt
สำนักงานส่งเสริมการค้าในประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน