ช็อคอารมณ์และความรู้สึกคนไทยสุดๆสำหรับโศฏกรรมรถทัวร์มรณะ 2 ชั้นแหกโค้งพุ่งชนข้างทางบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 242 ถนนสาย 304 กบินทร์บุรี – นครราชสีมา ช่วงเวลา 2 ทุ่มวันที่ 22 มีนาคม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 18 ศพ บาดเจ็บอีก 32 คน นับเป็นโศกนาฎกรรมซ้ำซากที่พรากชีวิตผู้คนจำนวนมาก จนเกิดคำถามตามมา “รถทัวร์ 2 ชั้นอีกแล้วหรอ?”
อุบัติเหตุสุดสะเทือนขวัญครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และก็ไม่น่าจะใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน เพราะตราบใดที่ยังมีรถทัวร์สองชั้นหลายพันคันโลดวิ่งอยู่ท้องถนนเมืองไทย แม้ในความเป็นจริงกรมการขนส่งทางบกจะออกประกาศ “ทำหมันรถทัวร์ 2 ชั้น” หวังเข้มงวดมาตรการเชิงป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารทุกประเภททุกคัน
โดยกำหนดให้รถโดยสารที่มีความสูงตั้งแต่ 3.60 เมตรขึ้นไป ต้องผ่านเกณฑ์การทดสอบการทรงตัวบนพื้นลาดเอียง 30 องศา โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสองชั้น โดยได้ปรับลดความสูงของรถจดทะเบียนใหม่หรือปรับปรุงตัวถัง ความสูงต้องไม่เกิน 4 เมตร ตามมาตรฐานสากล จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ไม่เกิน 4.30 เมตร โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป
ส่วนรถโดยสารสองชั้นที่จดทะเบียนไว้ก่อนวันที่ 19 มีนาคม 2560 ยังคงใช้รถได้ต่อไป เว้นแต่มีการปรับปรุงตัวถังซึ่งจะต้องนำรถเข้าตรวจสภาพซึ่งต้องเป็นไปตามเกณฑ์ความสูงไม่เกิน 4 เมตร และต้องผ่านการทดสอบการทรงตัวตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยสำหรับรถโดยสารทุกคันตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านวิศวกรรมยานยนต์และเกณฑ์การตรวจสภาพรถเพื่อความปลอดภัย
หากจะเล่าลือตามท้องเรื่องแล้ว รถบัส 2 ชั้นได้ให้บริการผู้โดยสารชาวไทยหย่อนก้นสัมผัสมานานกว่า 20 ปี ช่วงที่พีคสุดๆเกิดปรากฎการณ์คนแห่ขึ้นรถบัส 2 ชั้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นจะรถสาย(รถทัวร์)ที่วิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารเข้าเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งรถบัส 2 ขั้นที่วิ่งรับจ้างไม่ประจำทาง เพราะการได้มีโอกาสขึ้นนั่งรถบัส 2 ชั้นถูกตีความหมายว่ามันช่างอลังการยิ่งนัก เป็นรสนิยมของคนมีคลาส โก้หรู นั่งนิ่มสบาย อีกทั้งยังได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ริมทางได้อีกด้วย ถึงขนาดหากใครไม่ได้ลองสัมผัสก็จะถูกตราหน้า “โคตรเชย”
แต่พอได้รับความนิยมมากขึ้น รถที่ให้บริการก็ไม่พอต่อความต้องการ การแข่งขันในแวดวงขนส่งก็ทวีความดุเดือดมากขึ้นทุกวัน วันดีคืนดีเกิดมีผู้ประกอบการหัวใสนำแชสซีเก่าญี่ปุ่นมาประกอบเป็นรถบัส 2 ชั้นแล้วติดโลโก้เป็นแบรนด์ยุโรป ประกอบกับอู่ต่อรถหน้าเงินฉกโอกาสช่วงกำลังบูมตัดต่อพันธุกรรมรถโดยปราศจากคุณภาพที่กรมฯกำหนด กลายเป็นรถที่ออกมาวิ่ง “ไร้มาตรฐาน”
จนระยะหลังเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประกอบกับปริมาณรถมากขึ้นยากที่ควบคุมคุณภาพและมาตรฐานได้ ความนิยมรถบัส 2 ชั้นที่เคยเรืองอำนาจก็ลดน้อยถอยลง มิหนำซ้ำยังถูกค่อนแคะว่าเป็น “วัตถุคว่ำง่าย” แพ้ทางโค้ง แพ้ทางลาดชั้น แพ้ภูเขา แพ้ตีนผี แพ้ความเร็วเกิน 80 กม./ชม.มีผู้เอาชีวิตไปเสี่ยงมากกว่า 50 ชีวิต กับความสูงของรถกว่า 4.20 เมตร
หากจะว่ากันไปตามเนื้อผ้าแล้ว การที่กรมฯประกาศยกเลิกห้ามจดทะเบียนใหม่ ‘รถโดยสาร 2 ชั้น’ โดยอ้างถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ก็ดูจะไม่เป็นธรรมมากนัก เพราะอุบัติที่เกิดขึ้นจะโยนบาปให้กับตัวรถก็ไม่ใช่ทั้งหมด ตัวบ่งชี้การเกิดอุบัติเหตุ ตัวเป้งอันดับแรกต้องยกให้ “คนขับ” ที่ขาดวินัยการขับที่ดี แม้รถจะดีเลิศประเสริฐศรีมากแค่ไหน แต่หากคนขับใช้วิชาตีนผีตะบี้คันเร่งซะเต็มตีน อีกทั้งยังขาดความรับผิดชอบที่ดีในฐานะ “คนขับ” ที่ต้องวินัยการขับและคำนึงถึงปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก เชื่อเหลือเกินว่าก็เกิดอุบัติขึ้นอยู่ดี
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นรถใหญ่หรือรถเล็ก หากคนขับยังไร้วินัยการขับที่ดี ประเทศไทยก็ยังถูกตราหน้าว่าเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากอันดับหนึ่งของโลกอยู่ดี เพราะตราบใดที่ “วินัยและสันดาน”ของคนขับยังต่ำเตี้ยติดดินเช่นนี้ ต่อให้กรมฯทำคลอดสารพัดกฎอะไรออกมารายวันก็เปล่าประโยชน์สิ้นดี ….เพราะมันเกาไม่ถูกที่คันไงล่ะครับพี่น้อง!