กรมทางหลวงชนบท ปรับปรุงคันทางบนถนนเลียบคลองสาย ปท.3024 จ.ปทุมธานี เสร็จสมบูรณ์ยกระดับประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทาง พัฒนาเส้นทางในโครงข่าย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 – เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อำเภอธัญบุรี, หนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางอย่างสะดวกปลอดภัยให้ประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาประสิทธิภาพเส้นทางในโครงข่ายคมนาคมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้เส้นทางอย่างต่อเนื่อง
โดยถนนในโครงข่ายงานทางของ ทช.บางเส้นทางที่ก่อสร้างอยู่ตามแนวคันคลองชลประทานหรือริมตลิ่งของลำน้ำตามธรรมชาติ มักประสบปัญหาความเสียหายของผิวจราจรและคันทาง เนื่องจากระดับน้ำที่สูงขึ้นในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำซึมลงสู่ชั้นดินทำให้ดินมีลักษณะอ่อนตัว อีกทั้งการลดระดับของน้ำอย่างรวดเร็วในฤดูแล้งยังทำให้คันทางตามแนวตลิ่งขาดแรงดันน้ำที่คอยพยุงชั้นดิน ส่งผลให้ความแข็งแรงของชั้นดินบริเวณดังกล่าวลดลงและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายในบริเวณเส้นทางจราจรตามมา ส่งผลให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักของยานพาหนะที่สัญจรไปมาได้
ทั้งนี้ ถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 เป็นหนึ่งในเส้นทางที่ก่อสร้างเลียบตามแนวคลองซึ่งได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน ทาง ทช.จึงได้ดำเนินโครงการปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 – เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อำเภอธัญบุรี, หนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อรักษาสภาพคันทางและเส้นทางการจราจรไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมในบริเวณอื่น ๆ ป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง
ดังนั้น ทช. จึงดำเนินการปรับปรุงคันทางและผิวทางจราจรในบริเวณ กม.ที่ 14+550 ถึง 15+000 และ ช่วง กม.ที่ 16+330 ถึง 16+950 ด้วยวิธีการตอกเสาเข็มเพิ่มความแข็งแรงบริเวณไหล่ทางและปูแผ่นตาข่ายเสริมกำลังดินบริเวณผิวจราจร เพื่อกระจายน้ำหนักและลดแรงสั่นสะเทือนจากยานพาหนะที่ส่งผลต่อเสาเข็มด้านข้าง จากนั้นจึงลงวัสดุรองพื้นทางและบริเวณชั้นพื้นทางตามมาตรฐานของกรมฯ พร้อมก่อสร้างผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีตและติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ปัจจุบันโครงการดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนสัญจรได้ตามปกติแล้ว โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 53.2 ล้านบาท