“รัฐ-เอกชน” ผนึก 5 หน่วย ผุดโปรเจ็กต์นำขยะพลาสติกเหลือใช้มาสร้างถนน กรมทางหลวง เดินหน้านำร่อง พื้นที่เมืองเก่า “อยุธยา” 1 กม. พร้อมประเมินผล 1 ปี ก่อนลุยใช้จริงงบปี 65 เผยช่วยลดงบซ่อมบำรุงปีละ 1.5 พันล้าน ยืดอายุการใช้งานจาก 7 ปี เพิ่มเป็น 9 ปี ด้านกรมทางหลวงชนบท ทช. เล็งต่อยอดเส้นทางที่ 2 ในพื้นที่ จ.ระยอง ลั่นพลาสติกถูกกว่ายางพารา 15,000 บาท/ตัน ขณะที่ “ม.เชียงใหม่” คาดลดต้นทุนสร้างถนนปีละหลายหมื่นล้าน
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมทางหลวงได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการศึกษาพัฒนาการใช้ประโยชน์จากบรรจุภัณฑ์พลาสติกเหลือใช้ เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในแอสฟัลต์คอนกรีตสำหรับงานทาง โดยเป็นความร่วมมือของ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมทางหลวง (ทล.), กรมทางหลวงชนบท (ทช.), บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG, บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)
“เบื้องต้น ทล. จะนำร่องทดลองการนำพลาสติกมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรับปรุงถนนทางหลวง ขนาด 2 ช่องจราจร ไป-กลับ ในพื้นที่จ.อยุธยา โดยจะทดลองในระยะทางประมาณ 1 กม. แบ่งเป็นถนนที่ใช้พลาสติกสผสม ระยะทาง 500 เมตร และถนนลาดยางมะตอย 500 เมตร เพื่อเปรียบเทียบว่า ถนนแบบไหนแข็งแรงกว่ากัน และจะมีการรวบรวมเป็นข้อมูลในการดำเนินงานทางในอนาคต”
อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้ ทล. จะต้องเตรียมออกแบบ สำรวจพื้นที่ กำหนดราคากลาง พร้อมกำหนดเงื่อนไขพิเศษที่จะต้องนำพลาสติกเหลือใช้มาเป็นส่วนผสมในการปรับปรุงถนน ก่อนที่จะประกาศหาตัวผู้รับจ้าง และเปิดประกวดราคา เพื่อดำเนินการปรับปรุงต่อไป โดยคาดว่า จะเริ่มดำเนินการสร้างประมาณช่วง ม.ค.-ก.พ. 2564 ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการปรับปรุงไม่เกิน 2 เดือน
ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จจะมีการประเมินผลประมาณ 1 ปีโดยเปรียบเทียบระหว่างถนนที่ใช้พลาสติกเป็นส่วนผสม กับถนนที่ใช้แอลฟัสท์คอนกรีต (AC) หากพบว่า ถนนที่ใช้พลาสติกเป็นส่วนผสม มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพที่ดี ทาง ทล. จะนำไปใช้กับโครงการปรับปรุงทางในปีงบประมาณ 2565 ต่อไป อย่างไรก็
“จากผลการวิจัยถนนพลาสติกที่ผ่านมา ของ SCG และกลุ่มบริษัท ดาว พบว่า มีความแข็งแรง ทนทาน และช่วยยืดอายุการใช้งานของถนนจากเดิม 7 ปี เป็น 9 ปี โดยจะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการซ่อมบำรุงถนนได้ประมาณปีละ 5% หรือประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี จากปกติงบซ่อมบำรุงจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท”
ด้าน นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า ทช.ได้ทดลองใช้พลาสติกแล้วถนนสาย สบ.1004 อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ระยะทาง 1 กม. โดยผลการทดสอบเบื้องต้น พบว่า ผิวถนนพลาสติกแอลฟัสท์ มีความแข็งแรง ทนต่อสภาวะแวดล้อมได้ดี และเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยราคาพลาสติกเหลือใช้จะตกอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท/ตัน ส่วนยางพาราคาจะอยู่ที่ 25,000 บาท/ตัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าก่อสร้างได้แต่ยังคงความปลอดภัยเช่นเดิม ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2564 นั้น ทช. มีแผนจะปูผิวถนนพลาสติกเพิ่มอีกในพื้นที่ จ.ระยอง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม และมีปริมาณพลาสติกจำนวนมาก มีความเพียงพอต่อการใช้งานและนำมาใช้สร้างทาง
ด้าน นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีมุ่งนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ ทั้งในองค์กรและสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนมากว่า 2 ปี ด้วยเห็นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติก ที่ยังขาดการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้น คือ การร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เพื่อทำต้นแบบถนนที่มีส่วนผสมของพลาสติก ที่เหมาะสมต่อการใช้งานถนนในประเทศไทย อีกทั้ง ยังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสังคมให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
“การที่ ทล. และ ทช. เห็นถึงประโยชน์ในการนำประสบการณ์ และองค์ความรู้จากการทำถนนจากพลาสติกรีไซเคิลของเอสซีจี และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย มาต่อยอดพัฒนาโครงการนี้ ร่วมกันกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเอสซีจี จะให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการจัดหาเศษพลาสติกเหลือใช้ อาทิ ชนิด และคุณภาพ รวมทั้งวิธีการแปรรูป การล้างบดย่อย และบรรจุ เพื่อให้พร้อมต่อการใช้งาน และยังจะเดินหน้ารณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถนำขยะพลาสติกจากองค์กรและชุมชนมาใช้ประโยชน์ในโครงนี้ได้ โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถผลักดันโครงการดังกล่าว ไปสู่การเป็นมาตรฐานการทำถนนของภาครัฐ เพื่อใช้งานจริงในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศได้ต่อไป”
ด้าน นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหารกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มบริษัทดาว ได้ริเริ่มโครงการถนนพลาสติกรีไซเคิลมาแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางออกให้กับขยะพลาสติกที่รีไซเคิลได้ยาก ให้เกิดการนำกลับมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งยังสร้างความตระหนักในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้ช่วยลดขยะเทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์พลาสติกกว่า 50 ล้านถุงแล้ว
“โครงการถนนพลาสติกนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการก่อสร้างถนน ซึ่งช่วยให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นกว่าการใช้ยางมะตอยตามปกติ และยังเป็นประโยชน์ต่อการจัดการขยะ เพราะช่วยนำพลาสติกเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ และสร้างมูลค่า ช่วยลดปริมาณพลาสติกที่จะต้องถูกทิ้งเป็นขยะ โดยเป้าการทำงานด้านความยั่งยืนของดาว คือ หยุดขยะพลาสติกไม่ให้หลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อม”
ขณะที่ ศ.คลินิก น.พ.นิเวศน์ นันทจิตร อธิบการบดี มช. กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณขยะ 500,000 ตันต่อปี โดยในจำนวนดังกล่าวสามารถนำมาถนนได้ประมาณ 80% ทั้งนี้ การนำพลาสติกมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำถนน จะช่วยลดการใช้แอสฟัลท์คอนกรีตประมาณ 20% ซึ่งทำให้ลดต้นทุนในการก่อสร้างถนนได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้ง ยังช่วยลดการก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี