บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) แจ้งว่า บขส. ได้ประชุมหารือร่วมกับนายเจษฎา กตเวทิน รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายซาน อู หม่อง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย พันเอกเทอดไทย ทัพธานี รองผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหาร และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางความร่วมมือในการเคลื่อนย้ายแรงงานชาวเมียนมาที่ได้แจ้งความประสงค์ไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา เพื่อขอกลับประเทศ โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปดังนี้
- ให้ บขส. จัดรถโดยสาร ในเส้นทางกรุงเทพฯ – แม่สอด จำนวน 10 คัน วิ่งให้บริการแรงงานชาวเมียนมา จากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ไปยังด่านพรมแดนแม่สอด และหยุดพักรถที่สถานีขนส่งนครสวรรค์เพียงจุดเดียว โดยจะเริ่มดำเนินการในวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 เที่ยวละ 5 คัน โดยรถออกเวลา 22.00 น. และเวลา 23.00 น ตามลำดับ รองรับผู้โดยสารไม่เกินวันละ 210 คน จากนั้นจะจัดรถโดยสารสำรองวันละ 10 คัน เพื่อรับส่งแรงงานชาวเมียนมา จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2563 หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง (ซึ่งเส้นทางที่ให้บริการจะเป็นไปตามที่ภาครัฐกำหนด)
- สถานเอกอัครราชทูตเมียนมา จะออกหนังสือรับรองการเดินทางให้แรงงานชาวเมียนมา และนำแรงงานฯ มาขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
- ฝ่ายความมั่นคง โดยกองบัญชาการกองทัพไทย จะออกหนังสือรับรองการออกนอกเคหสถานช่วงเวลาเคอร์ฟิว ให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ และรถโดยสาร ในภารกิจนี้ด้วย
ทั้งนี้ บขส. ได้คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยของผู้โดยสารและมีการจัดทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมกำหนด โดยผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ต้องผ่านการคัดกรองผู้โดยสาร หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ห้ามเดินทางโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ บนรถโดยสาร บขส. ได้จัดที่นั่งเว้นระยะห่างกัน อย่างน้อย 1 เมตร ตามมาตรการเว้นระยะห่าง Social Distancing อย่างเคร่งครัด งดให้บริการอาหารบนรถโดยสาร และไม่อนุญาตให้นำอาหารมารับประทานบนรถโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ดี ในภารกิจครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ทั้งฝ่ายความมั่งคง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา และ บขส. เพื่อนำกลุ่มแรงงานเมียนมา ที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศ เดินทางกลับอย่างปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด เพื่อป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)