หากจะบอกว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนกรุงขณะเดียวกันถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์เมล์ NGV เลยก็ว่าได้หลังศาลปกครองกลางได้เพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องของ บจก.สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนมติบอร์ด ขสมก. ที่เห็นชอบให้ลงนามสัญญาซื้อ-ขายรถโดยสารประจำทางรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน พร้อมได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเนื่องจากผู้ฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
คำสั่งศาลดังกล่าวเหมือนเป็นการปลุก ขสมก.ได้ตื่นจากภวังค์หลังต้องเข้าถ้ำจำศีลนานร่วมครึ่งปีนับตั้งรับมอบรถเมล์ NGV ล็อตแรก 100 คัน( 26 มี.ค.61)จากกลุ่มร่วมทำงานSCN-CHO หรือบมจ. สแกน อินเตอร์ (SCN) และ บมจ.ช ทวี (CHO) เป็นใบเบิกทางให้ ขสมก. เดินหน้าตรวจรับรถเมล์ NGV อีก 389 คันที่เหลือได้
ตามไทม์ไลน์27 พ.ย.61 กลุ่ม SCN-CHO ได้ทำการส่งมอบล็อตที่ 2 จำนวน 100 คันให้กับขสมก.และพร้อมนำออกมาวิ่งบริการเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้กับคนกรุงช่วงปลายเดือนธันวาคม 61 ส่วนอีก 102 คันจะทำการรับมอบหลังจากนั้นอีก 15 วัน ส่วนที่เหลือ 189 คัน กลุ่ม SCN-CHO จะเร่งกระบวนการผลิตและการประกอบที่โรงงานประเทศจีน คาดจะใช้เวลาประมาณ 90 วัน โดยจะทำการส่งมอบได้ครบทั้งหมดได้ภายในเดือน ก.พ. 62
ทั้งนี้ หัวเรือใหญ่แห่งกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO อย่าง“คุณสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย” ยืนยันว่า SCN-CHO ดำเนินงานการทุกอย่างสุจริต มีความมุ่งมั่นและตั้งมั่นในคุณภาพการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เป็นการการันตีการบริการจัดการอย่างมืออาชีพของCHO ที่ได้รับรางวัล CG 5 ดาวติดกัน 2 ปี และรางวัลด้านความยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าประมูลงานโครงการจัดหารถเมล์ NGV
“เรามีศักยภาพและพร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ด้วยมุ่งมั่นและเชื่อมั่นว่าประชาชนจะได้ใช้บริการรถโดยสารใหม่ ซึ่งเป็นรถโดยสารปรับอากาศชานต่ำ และมีทางลาดสำหรับเข็นรถวีลแชร์เพื่อรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท ทั้งคนพิการและผู้สูงอายุให้สามารถใช้บริการรถโดยสารได้อย่างสะดวกปลอดภัยที่สุด เราให้คำสัญญาว่าเราจะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
หากจะทวนเข็มนาฬิกากลับไปจุดเริ่มต้นมหากาพย์เมล์ NGV นี้ ที่เริ่มตั้งไข่ตั้งแต่ยุครัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร”เมื่อปี 2549แต่พอจะหัดเดินหน่อยก็ถูก“บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน”ทำรัฐประหารซะก่อน และถูกแช่แข็งในยุครัฐบาลขิงแก่ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์”ก้าวข้ามเข้าสู่ยุครัฐบาลชิมไปบ่นไป“สมัคร สุนทรเวช”โครงการฯก็ถูกปัดฝุ่นอีกครั้งแต่ถูกกำหนดใช้วิธีการเช่ารถเมล์NGV 6 พันคันภายหลังถูกปรับลดลงเหลือ 4 พันคันและหยุดนิ่งอยู่แค่นั้น
เข้าสู่ยุครัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”ก็มิวายสะดุดตอเหตุถูกป.ป.ช.ตรวจสอบความไม่โปรงใสต้องหาวเรอต่อไป พอถึงรัฐบาล“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ก็ยังไม่สามารถทำคลอดออกมาได้ เมื่อถึงยุครัฐบาลนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”โครงการฯได้ถูกเปลี่ยนจากการเช่าเป็นจัดซื้อรถเมล์NGV 3,183 คันแต่ก็ถูกพับแผนไปเมื่อเกิดรัฐประหารโดย“บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
เข้าสู่ยุครัฐบาลคสช.นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลดโครงการซื้อรถเมล์ NGVเหลือ 489 คัน ส่วนที่เหลือ 2,694 คัน จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะซื้อรถเมล์ NGV หรือรถเมล์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องการผลักดันรถใช้พลังงานไฟฟ้าให้เป็นโปรดักแชมเปี้ยนตัวใหม่ต่อจากอีโคคาร์ ดูเหมือนโครงการฯจะเดินหน้าไปด้วยดีแต่ก็ต้องเผชิญปมปัญหาสารพัดทั้งการล้มการประมูล เมื่อมีผู้ชนะการประมูลก็ถูกอีกกลุ่มยื่นคัดค้านอ้างความไม่โปรงใสจนต้องเปิดประตูประมูลอีกหลายรอบ
จนะกระทั่งขสมก.ได้เปลี่ยนวิธีการประมูลเป็นวิธีคัดเลือกและมีเพียงกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ยื่นเพียงรายเดียว สุดท้ายขสมก.ได้เสนอบอร์ด ขสมก.พิจารณาอนุมัติซื้อรถจากกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO จนมีการส่งมอบรถล็อตแรก 100 คันแต่มิวายถูกบจก.สยามสแตนดาร์ด เอนเนอจี่ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางศาลเพิกถอนมติและคุ้มครองชั่วคราว โดยให้ชะลอการรับมอบรถจากกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHOจนกระทั่งล่าสุดศาลฯได้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
คำสั่งศาลฯนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด ทำให้ SCN-CHO มีความชอบธรรมโดยกฏหมายสามารถส่งมอบเมล์ NGV ที่เหลือให้ ขสมก.นำออกวิ่งบริการคนกรุงในสิ้นปีนี้ ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์เมล์ NGV ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวถึง 7 รัฐบาลและกินเวลานานถึง 12 ปี
บริบทสุดท้ายแล้วทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องสำเหนียกและสังวรให้จงหนัก พร้อมจำเอาไว้ในกมลสันดานให้เป็นบทเรียนราคาแสนแพง กับห้วงเวลา 12 ปี 7 รัฐบาล“ประเทศชาติ-ประชาชน”สูญเสียอะไรไไปบ้าง?ก้าวจากนี้ไปจะเป็นรถเมล์ไฮบริดนำร่องไปก่อนจะถึงคราพุ่งชนรถเมล์พลังงานไฟฟ้าเต็มสูบ
ขอย้ำเตือนสติทุกฝ่าย…อย่าให้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์มหากาพย์เมล์ NGV สุดอัปยศนี้ก็แล้วกัน!