นาย Arsenio M. Balisacan เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (The National Economic and Development Authority: NEDA) เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ได้อนุมัติคำสั่งผู้บริหาร (Executive Order: EO) เพื่อลดอัตราภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) และกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public – Private Partnership Projects: PPPs)
รวมถึงโครงการประมงและการฟื้นฟูชายฝั่งใหม่มูลค่า 11,420 ล้านเปโซ โดยคำสั่งดังกล่าวจะปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไป (MFN) ลงชั่วคราวเป็นร้อยละ 0 สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าสำเร็จรูป (Completely built – up units: CBU) เป็นระยะเวลา 5 ปีครอบคลุมรถยนต์ ไฟฟ้าหลากหลายประเภท เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถโดยสาร รถมินิบัส รถตู้ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ สกู๊ตเตอร์ และจักรยาน แต่จะไม่รวมรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด
นอกจากนี้ภายใต้คำสั่งดังกล่าว ยังจะลดอัตราภาษีนำเข้าชั่วคราวสำหรับชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถยนต์EV บางส่วนเหลือร้อยละ 1 จากร้อยละ 5 เป็นระยะเวลา 5 ปี อีกด้วย ทั้งนี้ คำสั่ง EO ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อขยายแหล่งตลาดและ กระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์หันมาพิจารณาซื้อรถ EVs มากขึ้น เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานในการลดการ พึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า และส่งเสริมการเติบโตของระบบนิเวศอุตสาหกรรม EVs ในประเทศฟิลิปปินส์
นาย Arsenio M. Balisacan กล่าวเพิ่มเติมว่าการปรับลดภาษีนำเข้ารถ EVs ดังกล่าวจะต้อง ได้รับการทบทวนหลังจากดำเนินการไปแล้วหนึ่งปี เพื่อประเมินผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้าในประเทศเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการลดภาษีในการสร้างมั่นใจว่ามีรถยนต์ไฟฟ้าเพียงพอและ สามารถแรงจูงใจสำหรับผู้ให้บริการในการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าเมื่อเห็นความต้องการของตลาด ทั้งนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อดีตประธานาธิบดีโรดิโก ดูเตอร์เต ได้ลงนามในกฎหมายที่เร่งการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ EVs โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อยร้อยละ 5 สำหรับยานพาหนะที่มี
นาย George T. Barcelon ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์กล่าวยินดีเกี่ยวกับ การออกคำสั่ง EO ปรับลดภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เห็นว่าคำสั่ง EO ดังกล่าวจะยังไม่ สามารถทำให้จำนวนผู้ใช้ EVs เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ควรตรวจสอบ ให้แน่ใจว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะรองรับการนำรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้เป็นจำนวนมาก

โดยตั้งข้อสังเกตว่า ฟิลิปปินส์ยังต้องการสถานีชาร์จจำนวนมากเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้น โดยบริษัทใหญ่ หลายแห่ง เช่น Ayala Land, Inc., Robinsons Land, Inc. และ Manila Electric Co. เพิ่งเริ่มเปิดสถานีชาร์จ สำหรับรถ EVs ในห้างสรรพสินค้ารอบๆ กรุงมะนิลา นอกจากนี้ ประธานหอการค้าฯ คาดว่าจะมีการนำเข้ารถ EVs จากประเทศจีนและเวียดนามเข้ามามากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกกว่ารถ EVs ที่ผลิตจากประเทศในภูมิภาค ตะวันตก
นาย Terry L. Ridon นักวิเคราะห์การลงทุนอิสระ กล่าวว่า การออกคำสั่งดังกล่าวถือเป็น จุดเปลี่ยนสำหรับการนำรถ EVs มาใช้ เนื่องจากการลดภาษีนำเข้าจะทำให้ราคารถยนต์EVs ทุกประเภท มีราคาย่อมเยามากขึ้นจากการที่รัฐบาลยอมสละรายได้จากการจัดเก็บภาษีบางส่วนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ รถยนต์ EVs มากขึ้น และเห็นว่านอกเหนือจากลดภาษีนำเข้ารถ EVs แล้ว เห็นว่ารัฐบาลควรมีการยกเลิก ภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคในฟิลิปปินส์ต้องจ่ายเงินประมาณ 21,000 – 49,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับการซื้อรถ EVs ในขณะที่รถยนต์ทั่วไปมีราคาประมาณ 19,000 – 26,000 เหรียญสหรัฐฯ และจาก ข้อมูลพบว่ารถยนต์ที่จดทะเบียนในประเทศมากกว่า 5 ล้านคัน มีเพียง 9,000 คันเท่านั้นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ข้อมูลจากงานแสดงสินค้า International Trade Administration ระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1 ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดในฟิลิปปินส์และส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโดยผู้ที่มีฐานะ การเงิน ทั้งนี้ สำหรับภาคยานยนต์ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่พึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า รวมทั้งต้องซื้อน้ำมันและถ่านหินในต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทำให้มีความเสี่ยงต่อความผันผวน ของราคา
แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์Business World