ภายหลัง “THE PHOENIXX 999” แบรนด์น้องใหม่แห่งเมืองปากน้ำโพได้กระโจนร่วมวงศ์วงศ์ไพบูลย์ธุรกิจต่อกระบะรถเพื่อการพาณิชย์เมืองไทย พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์เข้าสู่ตลาดด้วยการตลาดเชิงรุกยุคดิทิจัลครองเมืองมนุษย์ พร้อมสร้างแบรนด์ให้มีความโดดเด่นเฉพาะตัวด้วย“เส้นสายลายสี” คู่ขนานกับการรักษามาตรฐานของสินค้าในทุกกระบวนการผลิต และใช้เวลาตะบันธุรกิจเพียง 3 ปีกับยอดขายที่พุ่งทะลุกว่า 200 คันเมื่อปีที่แล้ว และยังคงความร้อนแรงข้ามปีจนเป็นที่กล่าวขานเป็นวงกว้างอยู่ในเวลานี้
ยาตราทัพแบรนด์ด้วยการตลาดเชิงรุก “ยุคดิจิทัล”
ล่าสุด ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง คุณฐาปดา อัครวัฒนาภร ประธานบริหาร บริษัท เดอะฟินิกซ์ 99 จำกัด เปิดเผยกับ Trans Timeว่าปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของการทำตลาดของเดอะฟินิกซ์ฯ ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งเพราะเรามีฐานลูกค้าเก่ากับงานเหล็กที่คุณพ่อก่อร่างสร้างตัวมากว่า 60 ปีอยู่แล้ว ผนวกกับการทำตลาดแบบเชิงรุกมากขึ้นตามแนวคิดคนรุ่นใหม่ สร้างแบรนด์สินค้าให้ไปเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยการตลาดยุคดิจิทัล ผสมผสานด้วยไอเดียแปลกใหม่และแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่ในท้องตลาด เพื่อสร้างแรงจูงและดูดกำลังซื้อจากลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น
“โปรดักส์ทุกตัวของเราเปี่ยมด้วยคุณภาพในทุกขั้นการผลิตภายใต้มาตรฐาน ISO 9001 : 2015 อยู่แล้ว แต่เราจะเติมเต็มโปรดักส์ให้เป็นที่สนใจด้วยเส้นสายลายสีตามที่ลูกค้าต้องการ เพื่อสร้างความโดดเด่นในความเป็นเอกลักษณ์ของเดอะฟินิกซ์ฯ ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีเหมือนใคร เมื่อผนวกกับการตลาดยุคดิจิทัลด้วยแล้ว จึงเป็นแรงส่งให้เรากลายเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”
‘คอกเกษตร’ ยังเป็น “พระเอก” พร้อมลุย “เทรลเลอร์-ก้างปลา”
นอกจากนี้ คุณฐาปดา กล่าวอีกว่าการตลาดยุคเก่าการจะเข้าถึงลูกค้าค่อนข้างจะยาก ส่วนมากลูกค้าจะวิ่งเข้าหาอู่มากกว่า แต่ปัจจุบันที่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่าใครเข้าถึงลูกค้าก่อนเป็นผู้ชนะ ในเมื่อโนว์ฮาวทุกคนใกล้เคียงกัน โจทย์ที่เราต้องแก้คือเราจะทำการตลาดอย่างไรเพื่อเจาะและดึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด มันจึงตกผลึกไปที่เรื่องการสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ ควบคู่กับการรักษามาตรฐานของสินค้าและการทำตลาดเชิงรุกยุคดิจิทัล
“ยอดขายของเดอะฟินิกซ์ฯปีที่แล้วอยู่ที่ 200 คัน ส่วนมากเป็นกลุ่มสินค้าประเภทกระบะเหล็กคอกเกษตรและอลูมิเนียม นอกนั้นก็เป็นกระบะดัมพ์เหมือง หินทราย และหางเทรลเลอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเติบโต 100 % ส่วนปีนี้หลังผ่านไตรมาสแรก เรามียอดออเดอร์ทั้งหมด 180 คัน และได้ส่งมอบไปแล้ว 140 คันโดยจะเน้นโปรดักส์ประเภทคอกเกษตรและกลุ่มลูกค้าโรงสีเป็นหลัก เพราะคาดว่าปีนี้ราคาข้าวมีแนวโน้มดีขึ้นอีกทั้งปีนี้จะเปิดหน้าลุยโปรดักส์ประเภทเทรลเลอร์ ก้างปลาพื้นเรียบอีกด้วย”
“ยุทธวิธีดาวกระจาย” กรุยทางเติบโตยั่งยืน
ส่วนกลยุทธ์การตลาดนั้น คุณฐาปดา ระบุว่าอย่างที่ผมกล่าวไว้เบื้องต้น เราจะลุยการตลาดเชิงรุกแบบ Marketing Mix อย่างต่อเนื่อง โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นตัวขับเคลื่อนความเป็นแบรนด์“THE PHOENIXX 999” ควบคู่กับการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบการประชาสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้าต่างๆมากขึ้น และที่สำคัญจะใช้“ยุทธวิธีดาวกระจาย” เป็นการปูพรมเซลล์กระจายตัวทั่วทุกพื้นของประเทศให้มากที่สุด เราอาจไม่ได้เป็นเจ้าใหญ่ในตลาด แต่ก็ขอเติบโตในสัดส่วนของเรา กลุ่มลุกค้าไม่ว่ารายใหญ่ กลาง เล็ก หรือบุคคลเราก็จะเข้าถึงทั้งหมด
“เดอะฟินิกซ์ฯคงคุณภาพและมาตรฐานในทุกขั้นตอนการผลิตภายใต้มาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ด้วยทีมงานและการทำงานแบบมีระบบ เพื่อเพิ่มศักยภาพกำลังผลิตให้ก้าวตามทันยอดขายที่เติบโต เช่นเพิ่มกำลังพล เครื่องจักรที่ทันสมัย และอุปกรณ์อะไหล่ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังเพิ่มทีมงานฝ่ายบริการหลังการขาย ให้ฉับไว และทีมขายที่แนะนำให้คำปรึกษาได้เป้าหมายผู้ประกอบการ ทั้งหมดจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ดี คุณฐาปดา สรุปปิดท้ายว่าตัวถังรถบรรทุกเหมือนกัน หางเทรลเลอร์เหมือนกัน แต่แตกต่างที่เราใส่ในรายละเอียด“ความสวยงาม”ที่ต้องมาพร้อมกับ“ความแข็งแกร่ง”ราจึงเป็นลูกครึ่งระหว่าง Gen เก่ากับ Gen ใหม่ ที่มีการผสมผสานอย่างลงตัว เป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังยึดเอาข้อดีของรุ่นเก่ามาปรับใช้กรุยทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนที่ส่งจากรุ่นหนึ่งถึงอีกรุ่นหนึ่งได้อย่างสมดุล
“ไม่ว่ารถบรรทุกจะวิ่งไปไหนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศทุกคนมองจะรู้เลยว่ารถคันนี้ต่อจากเดอะฟีนิกช์999เพราะเรามีสโลแกนที่ว่า รถคุณเป็นคนใช้ แต่ดีไซน์ต้องให้ PHOENIXX 999”