สมร เทิดธรรมพิบูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
ปฏิเสธไม่ได้ถึงความดุเดือดของตลาดโลจิสติกส์ที่เกิดขึ้นพร้อมการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะยิ่งเติบโตก้าวกระโดด ด้วยจำนวนผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มมากขึ้น กับการแข่งขันที่รุนแรงของโลจิสติกส์ที่มีคู่แข่งเข้ามาบุกตลาดไทยมากขึ้น เจ้าตลาดอย่าง “ไปรษณีย์ไทย” ที่อยู่มานานกว่า 135 ปี บอกสมรภูมินี้ไม่หวั่น “สมร เทิดธรรมพิบูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ แม่ทัพหญิง เจเนอเรชั่นที่ 4 นับตั้งแต่แยกกิจการออกมาจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ ยืนยันชัดเจนว่า “พวกเราพร้อมสู้ เราต้องไม่แพ้ เราปรับกลยุทธ์ในทุกมิติ เพื่อรักษามาร์เก็ตแชร์ ที่ครองความเป็นเบอร์ 1 มายาวนาน พร้อมประกาศเป้าหมายในปีนี้จะขยับสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ให้มากขึ้นไปอีก”
“สมร เทิดธรรมพิบูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จึงได้ปลุกพลังคนไปรษณีย์ ด้วยการนำ “THP POWER” มาเป็น GPS นำทางในการทำงานในยุค Thailand 4.0 รองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซและการตอบสนองนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการคุมเข้มใน 5 มิติ ได้แก่ 1. Professional Manpower ให้ทั้งองค์กรทำงานอย่างมืออาชีพ ฝึกทักษะและใช้อุปกรณ์ให้ทันโลก
ยุคดิจิทัล 2. Operational Standard ระบบปฏิบัติงานต้องมีมาตรฐานเดียวกันทั่วไทย ลดข้อผิดพลาดในการทำงานที่น้อยอยู่แล้วให้เหลือเป็นศูนย์ 3. Wisdom พัฒนามุมมองทางธุรกิจของบุคลากรให้มองในองค์รวมเพื่อต่อยอดบริการและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ 4. Engagement สร้างความผูกพันภายในองค์กรและกับลูกค้า 5. Responsive to Innovation ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
“งานบริการอย่างไปรษณีย์ หัวใจสำคัญอยู่ที่คุณภาพบริการ แล้วการที่จะทำให้เกิดคุณภาพบริการได้ต้องใช้คน ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่นี้ สิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา คือการลงพื้นที่ไปพบกับพนักงานทุกคน ในทุกที่ทำการไปรษณีย์ เราใช้ “ใจ” เดินไปถึงทุกคน โดยเฉพาะพนักงานระดับปฏิบัติการที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ เข้าไปสื่อสารให้ทุกคนรับรู้ถึงภารกิจองค์กร ให้ความร่วมมือร่วมใจ
ในการส่งต่อคุณภาพบริการที่ดีสู่ผู้ใช้บริการ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป คู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย ผู้ใช้บริการ
มีทางเลือก เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้ใช้บริการนึกถึงไปรษณีย์ไทยเป็นที่แรกถ้าคิดจะส่งของ”
ขณะที่ในระดับผู้บริหาร หัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์ ได้มีการ Workshop เพื่อเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของที่ทำการไปรษณีย์ รวมถึงมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรให้ครอบคลุมในทุกระดับ
ขณะเดียวกันเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไปรษณีย์ไทยไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาบริการให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด โดยเน้น “ความเรียบง่ายสะดวกทันสมัย” ตรงใจผู้บริโภคยุคดิจิทัล เริ่มตั้งแต่การเปิดให้บริการแอปพลิเคชัน “พร้อมโพสต์” (PromptPost) เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเตรียมการฝากส่งล่วงหน้าผ่านอินเทอร์เน็ตได้ตั้งแต่ที่บ้าน พร้อมคำนวณค่าใช้บริการให้อัตโนมัติ ย่นเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องใช้หน้าเคาน์เตอร์ฝากส่ง
“เดิมต้องให้พนักงานสแกนแต่ละกล่องใช้เวลาราว 8 วินาที แต่ถ้าใช้พร้อมโพสต์พิมพ์รายการรวมทั้งหมดที่จะส่งมาจากบ้าน จะใช้เวลาสแกนแค่ 2 วินาทีต่อใบส่งมอบ และยังติดตามสถานะการส่งในแอปพลิเคชันพร้อมแจ้งเตือนให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขายอัตโนมัติ รวมถึงเก็บสถิติการส่งได้ด้วย”
นอกจากนี้ยังเร่งพัฒนาบริการใหม่ๆ สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ อาทิ “กล่องพร้อมส่ง” กล่องพัสดุราคาเหมาจ่าย บริการ C2C Fulfillment Solution สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่จะช่วยบริหารสต็อกและการจัดส่งให้กับลูกค้า ซึ่งจะเร่งเปิดตัวในเร็วๆ นี้ รวมถึงระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของไปรษณีย์ไทย ให้พร้อมรองรับสังคมไร้เงินสด ขณะที่ลูกค้าทั่วไปก็จะมีทั้งตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะ iBox ตู้บริการ APM อำนวยความสะดวกทั้งการฝากส่งและนำจ่ายสิ่งของ โดยไม่ต้องยึดติดกับเวลาทำการของแต่ละที่ทำการอีกต่อไป ซึ่งเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับไลฟ์ไสตล์คนยุคดิจิทัล
ขณะที่ภาพรวมของระบบขนส่งจะเริ่มเห็นการนำระบบ Automation อย่างเต็มรูปแบบมาเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้นอีกเรื่อยๆ เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของปริมาณไปรษณีย์ภัณฑ์ที่เข้ามาในระบบ โดยเฉพาะ EMS ที่เพิ่มมากกว่า 50% ต่อปี
“นับตั้งแต่การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจมา เราไม่เคยขาดทุนแม้แต่บาทเดียว ไม่เคยได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงการคลัง และเรายังสามารถส่งเงินเข้ากระทรวงการคลังทุกปี ทั้งในรูปแบบภาษี ปีละ 30% และในรูปแบบของปันผล 40% ของกำไร ฉะนั้นไปรษณีย์ไทยเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำเงินส่งเข้ารัฐตลอดเวลา รวมจนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านบาทแล้ว