ทุกวันนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน แต่หากส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและสาขามากมาย รวมทั้งกิจกรรมด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อประโยชน์ในด้านการจัดการที่รวดเร็ว ดำเนินการโดยอัตโนมัติ สามารถลดต้นทุน และยังประหยัดเวลา อาทิเช่น Google และ Amazon ได้ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีนี้แล้วและกำลังเป็นผู้นำในด้านนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ ก็มีการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาการผลิตและการให้บริการ ซึ่งในบทความนี้เราจะหยิบยกตัวอย่าง กิจกรรมด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ที่โลกปัจจุบันกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI มาแนะนำให้รู้จักกัน
1. โกดังอัตโนมัติ (Automated Warehouses)
มีการประเมินว่าตลาดระบบอัตโนมัติของคลังสินค้าจะเติบโตในอัตรา 14% ต่อปีภายในปี 2569 นอกจากนั้น คาดการณ์ว่าธุรกิจมากกว่า 60% จะใช้ AI เพื่อทำให้คลังสินค้าเป็นอัตโนมัติ โดยประโยชน์ของคลังสินค้าอัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถอำนวยความสะดวกให้กับงานประจำและใช้เวลานานได้เป็นจำนวนมาก
ในทางกลับกัน AI ในคลังสินค้าจะทำให้การเปลี่ยนแปลงอัตโนมัติและปรับปรุงการดำเนินงานด้านคลังสินค้าจำนวนมาก รวมถึงการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวม กระบวนการสินค้าคงคลัง และอื่นๆ นอกจากความจริงที่ว่าความเร็วของการดำเนินการอัตโนมัติมักจะเร็วกว่าการดำเนินการด้วยตนเองหลายเท่า ยังช่วยให้กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ อาทิ การทำนายอุปสงค์ในตลาด การแก้ไขคำสั่งซื้อหรือแม้แต่การเปลี่ยนเส้นทางสินค้าระหว่างทาง
ด้วยเหตุนี้ ประโยชน์บางประการของคลังสินค้าอัตโนมัติ จึงทำให้ ผู้ให้บริการ สามารถมั่นใจได้ถึงความโปร่งใสในการดำเนินงานและความรับผิดชอบในทุกขั้นตอนที่ดำเนินการ เนื่องจากการดำเนินการทั้งหมดในคลังสินค้ามีการติดตามอย่างง่ายดาย ขณะที่อัตราความผิดพลาดลดลงและการจัดเรียงสินค้าผิดพลาด และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าคงคลัง — สินค้าและรายการต่างๆ ถูกจัดวางตามความนิยมและการใช้งาน และยังมีการคาดการณ์ว่า ในอนาคต คลังสินค้าอัตโนมัติจะช่วยดำเนินการควบคุมคุณภาพและ ลดขั้นตอนการทำงานของคนลงไปได้อีกมาก จนในที่สุดอาจจะเป็นคลังสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนอีกต่อไป
2. ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles)
ด้วยเทคโนโลยีที่มีความก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน AI จะสามารถทำให้ยานพาหนะขนส่ง (รถบรรทุก รถตู้ รถประจำทาง ฯลฯ) เป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น และมีแนวโน้มว่า การขนส่งในอนาคต ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles) อาจจะมาแทนที่พนักงานขับรถได้ในที่สุด โดยมองจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอาทิ การ ประหยัดต้นทุนเวลา ลดต้นทุนด้านการจัดการ และมีแนวโน้มว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลงอีกด้วย
3. ถนนอัจฉริยะ (Smart Roads)
Smart Roads เป็นอีกกรณีในการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยตวอย่าง เช่น ทางหลวงอัจฉริยะและถนนอัจฉริยะเป็นข้อกำหนดสำหรับวิธีต่างๆ ที่รวมเทคโนโลยีเข้ากับถนน เพื่อปรับปรุงการทำงานของยานพาหนะที่เชื่อมต่อและขับเคลื่อนอัตโนมัติ สำหรับสัญญาณไฟจราจรและไฟถนน และสำหรับการตรวจสอบสภาพถนน สภาพการจราจร และความเร็ว ของยานพาหนะ โดยปัจจุบันธุรกิจผู้ให้บริการด้านขนส่งและโลจิสติกส์ต่างนำแนวคิดการพัฒนา Smart Roads เพื่อประโยชน์ต่อธุรกิจ มิติด้านความปลอดภัยทางถนน การลดความล่าช้าและสามารถจัดส่งสินค้าได้เร็วขึ้น
โดยตัวอย่างเทคโนโลยี Smart Roads ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ที่ช่วยในการผลิตไฟฟ้าและป้องกันถนนลื่นในฤดูหนาว ,ไฟ LEDที่เตือนผู้ขับขี่เกี่ยวกับสภาพถนนที่เปลี่ยนแปลง ,ไฟเบอร์ออปติกเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับปริมาณ/รูปแบบการจราจร และแจ้งว่ารถออกนอกเส้นทาง หรือเกิดอุบัติเหตุหรือไม่
4. การวางแผนเส้นทาง (Route Planning)
กิจกรรมที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งในการขนส่งและโลจิสติกส์ คือ การวางแผนเส้นทางที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใช้พลังของเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถปลดล็อกการวางแผนเส้นทางขั้นสูงด้วยการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อปรับค่าต่างๆ ให้เหมาะสม เช่น ต้นทุนที่ต่ำลงและเวลาในการจัดส่งที่เร็วขึ้นมาก ซึ่งการกำหนดเส้นทางแบบเดิมมีข้อจำกัด และไม่สามารถอธิบายปัจจัยในโลกแห่งความเป็นจริงได้ทั้งหมด ในขณะที่โซลูชันที่ใช้ AI สามารถทำได้
โดยเครื่องมือ AI คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ได้ด้วย เช่น พฤติกรรมหรือความชอบของลูกค้า, รูปแบบการจราจร, ประเภทสินค้า/สิ่งของที่ต้องจัดส่ง, กฎ/ข้อบังคับเกี่ยวกับถนนในท้องถิ่น
ดังนั้น การนำ AI ไปใช้ส่งผลให้ต้นทุนการจัดส่งลดลง ลดต้นทุนการจัดส่ง เวลาจัดส่งเร็วขึ้น การใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า สามารถเวลาที่ใช้ในแต่ละการจัดส่ง/เส้นทางลดลง และอื่นๆ อีกมากมาย
5. การพยากรณ์อุปสงค์ (Demand Forecasting)
อีกประโยชน์ที่สำคัญในการนำเทคโนโลยี AI คือความสามารถในการคาดการณ์ความต้องการในอนาคตอย่างแม่นยำ เช่น การคาดการณ์ปริมาณสินค้าและวัตถุดิบ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า การจัดการด้านสินค้าคงคลังเป็นส่วนสำคัญในกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ในคลังสินค้า ที่ช่วยให้ลดการสูญเสียรายได้ หรือโอกาสสร้างรายได้ หรือแม้แต่การรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยี AI สามารถทำนายแนวโน้มและผลลัพธ์ได้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถวางแผนคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอิงจากข้อมูลในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าผ่านการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณโดยแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความชอบ/นิสัยการซื้อของพวกเขาโดยเฉพาะ
6. ระบบอัตโนมัติของกระบวนการหลังบ้าน (Back-Office Process Automation)
ระบบหลังบ้าน หรือ Back-Office มีความสำคัญอย่างมากต่อความต้องการด้านโลจิสติกส์ ความแม่นยำและความเร็วของการดำเนินงานส่วนหลังสามารถปรับปรุงได้อย่างมากโดยใช้ AI ระบบอัตโนมัติทางปัญญาถูกสร้างขึ้นโดยการผสมผสานระหว่างRobotic Process Automation (RPA)และ AI ที่ช่วยให้พนักงานสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของงานได้ และยังสามารถปรับปรุงความถูกต้องและทันเวลาของข้อมูลสำหรับบริษัทขนส่ง ทั้งขจัดการรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือขัดแย้งกัน
จากบทบาทของเทคโนโลยี AI กับบทบาทที่กำลังปฏิวัติกิจกรรมด้านบริการการขนส่งและโลจิสติกส์ในปัจจุบัน ตลอดจนแนวโน้มการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีทำให้องค์กรขนาดใหญ่ในทุกภูมิภาคทั่วโลกมีการปรับตัว และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการผลิต การขนส่ง และการบริการอย่างเหมาะสม ซึ่งไม่เพียงประโยชน์ในการจัดการที่รวดเร็ว ลดความผิดพลาด ควบคุมการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ และลดต้นทุนในการจัดการ แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่เรายังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี จะทำให้ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถปรับตัว หรือปรับตัวได้ช้าเกิดการเสียโอกาสในหลายๆ ด้าน และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนไปสู่รูปแบบการขนส่งและโลจิสติกส์สมัยใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องตามให้ทัน
แหล่งอ้างอิง : https://stefanini.com/en/trends/articles/the-role-of-artificial-intelligence-in-logistics