หลังทราบมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อ 21 ม.ค.63 ที่เปิดไฟเขียวย๊าวยาวกับ 12 มาตรการล้อมคอกฝุ่นจิ๋วมหันตภัยร้ายPM2.5 พร้อมเปิดทางสะดวกโยธินให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งบังคับใช้ได้เต็มอัตราศึก ทั้งคุมเข้มรถบรรทุกเข้ากรุง ปูพรมตรวจควันดำรถบรรทุก-รถโดยสาร คุมการปล่อยฝุ่นโรงงาน ดูแลการก่อสร้างในเขตเมืองให้ลดฝุ่นลดจราจรติดขัด ห้ามการเผาในที่โล่ง ลดราคาน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมที่ก่อฝุ่นน้อย ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เป็นต้น
1 และ 2 ใน 12 มาตรการที่ถือว่าเป็น “ยาแรง”กระแทกหัวอกสิงห์รถบรรทุกไปเต็มเปา ที่ว่ายาแรงก็เพราะรัฐติดดิสเบรก “ห้ามรถบรรทุกสิบล้อ”ขึ้นไปวิ่งถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกรอบนอกเข้าสู่เขตชั้นในเมืองหลวงและปริมณฑลในวันคี่โดยเด็ดขาด เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. และให้เข้าได้ในช่วงหลังเวลา 21.00-05.00 น.ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น ส่วนวันคู่สามารถเข้าได้ช่วงเวลาตามปกติ โดยมีระยะเวลา 2 เดือนสิ้นสุดเดือนกุมภาฯนี้
ทำให้อารมณ์และความรู้สึกพลพรรคสิบล้อในเวลานี้อยากจะตะโกนก้องฮัมเพลง “มะล่องก่องแก่ง”ของศิลปิน พจน์ สายอินดี้ ที่กำลังดังเป็นพลุแตกในโลกดนตรียุคดิจิทัลครองเมืองมนุษย์ “ขอโทษที่เข้าไปเป็นมะริ่งกิ่งก่องสะมารองก๊องแก๊ง”เป็นตัวป่วนตัววุ่นวายให้เกิดฝุ่นจิ๋วมหันภัยร้าย PM2.5 ในใจกลางกรุงและปริมณฑล
ทว่า จะปล่อยให้พี่น้องสิบล้อออกมาโชว์สเต็ปเอ่ยปากขอโทษที่เข้าไปเป็น“มะริ่งกิ่งก่องสะมารองก๊องแก๊ง“เพียงกลุ่มเดียวก็ดูจะไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเขา เพราะต้นตอปัญหาที่เป็นมะล่องก่องแก่ง(ป่วน,วุ่นวาย)ให้เกิดฝุ่นPM2.5 กลุ่มรถบัส รถกระบะ รถยนต์ส่วนตัว และแมงกะไซค์ก็ต้องร่วมก๊วนมะล่องก่องแก่งด้วยถึงจะครบสูตร
ตามที่กรมควบคุมมลพิษได้ร่ายเอาไว้ต้นตอฝุ่นจิ๋วร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง ในนั้นเป็นรถบรรทุกกว่าร้อยละ 28 ร้อยละ 7 มาจากรถบัส ร้อยละ 21 มาจากรถกระบะ ร้อยละ10 มาจากรถยนต์ส่วนตัว และอีกร้อยละ 5 มาจากบรรดาแมงกะไซค์
แม้พอจะบังคับขืนใจให้รับได้ว่าเป็นมาตรการระยะสั้น และ…OK “ต้นตอ”บ่อเกิดฝุ่นจิ๋วมหาภัยนั้น ร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง และในจำนวน 72.5 % นั้นเป็นรถบรรทุกร้อยละ 28 ที่สังคมพยายามยัดเยียดว่าเป็น “ต้นตอตัวเอ้”ฝุ่นเจ้ากรรมนายเวร PM2.5 เพียงเพราะเป็น”พี่ใหญ่”บนท้องถนนอะไรเทือกนั้น
แต่ไฉนเล่า?ภาครัฐกลับยัดเยียดให้สิบล้อซด “ยาแรง” แต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น!
แล้วรถบัส รถกระบะ รถยนต์ส่วนตัว หรือแม้แต่บรรดาแมงกะไซค์ก็ล้วนมีส่วนเป็นต้นตอด้วยเช่นกัน…ทำไมไม่กล้าอัญเชิญยาแรงให้ดื่มด่ำแก้กระหายแก้คอแห้งบ้างล่ะ?เยี่ยงนี้แล้วมันคือการเลือกปฏิบัติหรือไม่?และมันคือแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นธรรมสำหรับพี่น้องสิบล้อแล้วหรือไม่? แล้วความเดือดร้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้น…ใครจะช่วยเยียวยาล่ะเจ้าคะพระเดชพระคุณท่าน?
บรรดาท่านรัฐมนตรี โท เอก ที่นั่งเอกเขนกในห้องแอร์เย็นเจี๊ยบทั้งหลายแหล่ โปรดอย่าแกล้งโง่ลืมนะครับ!การห้ามสิบล้อวิ่งบนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกนี้ไม่ต่างอะไรกับ“ปิดตายรถสิบล้อ”วิ่งเข้าเขตชั้นในเมืองหลวงเชียวนะ ระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมจากเหนือ-อีสานเข้าใจกลางเมืองต่อไปท่าเรือและคลังสินค้าต่างๆ หรือเชื่อมไปยังภาคกลางลากยาวล่องใต้แทบเป็นอัมพาต กระทบชิ่งซึมลึกถึงห่วงโซ่การขนส่งและโลจิสติกส์อื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อรัฐติดดิสเบรกห้ามสิบล้อวิ่งวันคี่ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.และเปิดให้เข้าได้ในช่วงหลังเวลา 21.00- 05.00 น.ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น บรรดารถบรรทุกสิบล้อจากทุกสารทิศก็จะเกิดการ “แออัด”มัดรวมอยู่เขตรอบนอกเพื่อรอเวลาวิ่งเข้าสู่ใจกลางกรุงในวันคู่ตามยถากรรมกับปัญหาที่จอดที่พักรถที่หายากยังกะงมหาความจริงใจจากนักกินบ้านกินเมืองในมหาสมุทรการเมืองไทย
ครั้นพอถึงวันคู่ที่รอคอยมวลหมู่สิบล้อที่ “อั้น”อยู่ก็จะไหลรวมเข้าไปเขตชั้นในใจกลางเมืองหลวง มันจะไม่ก่อให้เกิดปริมาณรถที่หนาแน่นและการจราจรเกิดติดขัดวินาศสันตะโรมากกว่าเดิมหรือไม่?
แล้วไอ้ปริมาณฝุ่นที่(อาจ)จะลดในวันคี่จากการบล็อกรถสิบล้อเข้ามามะล่องก่องแก่งวุ่นวายตามเจตจำนงภาครัฐอะไรพันธุ์นั้นน่ะ แต่มันจะมาเพิ่มดีกรีเข้มข้นในวันคู่หรือไม่ ?แล้วมันคุ้มค่าราคาคุยกับมาตรการที่รัฐภูมิใจนำเสนอหรือไม่?ครับท่านเจ้าคุณ!
พลพรรคสิบล้อห้วงนี้หดหู่และสิ้นหวังซะเหลือเกิน เศรษฐกิจก็ตกต่ำงานวิ่งก็มีน้อยอยู่แล้ว ซ้ำร้ายรัฐยังห้ามวิ่งวันอีก เลือกปฏิบัติแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่กำลังถูกรัฐจับมัดโซ่ตรวนเป็น“แพะบูชายัญ”บวงสรวงพิธีกรรมไล่ฝุ่นมรณะ PM 2.5 เพื่อความสงบร่มเย็นสุขภาพแห่งมวลประชา
ทว่า พวกเขาจะได้รับเกียรติถูกจารึกไว้ใน”คัมภีร์ไล่ฝุ่น”หรือทรงคุณค่าพอกับเหรียญกล้าหาญไว้เป็นที่ระลึกประจำตระกูลหรือไม่?หลังเพ่งกสิณในธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว
….คงเหลือแต่ “สุญญตา”& “มะล่องก่องแก่ง”ในแง่งตาเธอประเทศไทยเท่านั้น!
:ปีศาจขนส่ง
Cr.ภาพประกอบจาก Natthanapat Sangsri