เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์รถทัวร์พุ่งข้ามเลนชนกับรถบรรทุก 10 ล้อ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ราย หากใครยังพอจำเรื่องนี้ได้ก็อาจจะรู้สึกสลดใจและอาจตั้งคำถามว่าทำไมข่าวอุบัติเหตุจากรถทัวร์ถึงมีให้เห็นอยู่เรื่อยมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี 2 กว่า บริเวณถนนมิตรภาพ ฝั่งขาเข้าตัวเมือง กิโลเมตรที่ 103-104 ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตติดอยู่ภายในรถบัส 5 ราย และรถบรรทุก 10 ล้ออีก 1 ราย รวมเป็น 6 ราย โดยผู้โดยสารในรถทัวร์คันดังกล่าว 4 ราย สภาพศพถูกแรงอัดกระแทกจนเสียชีวิตคาที่ ขณะเดียวกันยังมีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บอีก 22 ราย และในจำนวนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึง 8 ราย
จากการสอบสวนของตำรวจ พบว่า รถทัวร์คันดังกล่าวรับผู้โดยสารมาจาก จังหวัดร้อยเอ็ด มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร ขณะที่มาถึงที่เกิดเหตุวิ่งรถมาด้วยความเร็วสูง ประกอบกับมีฝนตกถนนจึงลื่น ในขณะนั้นเองรถเกิดเสียหลักส่ายไปมา ก่อนที่จะพุ่งข้ามเกาะกลางถนนไปยังอีกฝั่ง และชนประสานงากับรถบรรทุก 10 ล้อที่วิ่งสวนทางมาพอดีเข้าอย่างจัง ส่งผลให้คนขับรถทั้ง 2 คัน รวมผู้โดยสารเสียชีวิตทันที 6 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมาก เบื้องต้นสันนิษฐานว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากคนขับรถทัวร์หลับในเนื่องจากมีการขับรถติดต่อกันมานานหลายชั่วโมง นับเป็นการสร้างความสูญเสียให้กับหลายคนที่ต้องเสียสมาชิกในครอบครัวไปจากเหตุการณ์นี้ ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบางรายยังคงประสบปัญหาในการใช้ชีวิตอยู่แม้เวลาจะผ่านมาล่งเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว
“คุณชลธิชา ชนะอุดม” หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เล่าให้ฟังว่า ในคืนวันที่ 4 สิงหาคม 2559 เธอได้ซื้อตั๋วรถทัวร์มาจากอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อมาทำธุระเรื่องการเตรียมจัดงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในปลายปีของเธอกับคู่หมั้น แต่ต้องมาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องพังทลายลงชั่วข้ามคืน ซึ่งวันนั้นเธอได้ตั๋วนั่งอยู่เบาะด้านหน้าสุดบนชั้น 2 ของรถ ในขณะที่รถชนกันจึงทำร่างของเธอกระเด็นออกจากรถลงไปกระแทกกับเกาะกลางถนน
ส่งผลให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ร่วมเดือน ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยเพราะอวัยวะสำคัญของร่างกายหลายอย่างได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจนเกือบเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เช่น ซี่โครงหัก, ไหปลาร้าหัก, ขาหักจนต้องผ่าตัดเพื่อดามขา และในระหว่างนั้นต้องเจาะสายยางเพื่อถ่ายเลือดเสียออกจากร่างกาย อีกทั้งยังต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดและทรมานที่สุด
โดยหลังจากเกิดเหตุเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ บริษัท ประหยัดทัวร์ ซึ่งเป็นเจ้าของรถคันที่เกิดเหตุ ก็นัดเจรจาและไกล่เกลี่ยกันโดยช่วยเหลือเยียวยามาเพียงให้รถเข็น 1 คัน พร้อมกับค่าทำขวัญซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก และจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อมาหรือถามข่าวคราวเลย และที่แย่ไปกว่านั้นยังบอกอีกว่าถ้าอยากได้เงินเยอะให้ไปฟ้องร้องเอา
ความลำบากจึงตกมาอยู่ที่ครอบครัว โดยผู้ที่เป็นแม่ของเธอต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งเอารถยนต์ และทรัพย์สินที่พอมีอยู่ไปจำนอง เพื่อให้ได้เงินมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากร้อยเอ็ดมาดูแลลูกในขณะที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลในจังหวัดโคราช และในระหว่างนี้เองกิจการเล็กๆ ของครอบครัวก็ต้องมาหยุดชะงักไปด้วย ที่สำคัญยังต้องมาดำเนินเรื่องฟ้องร้องบริษัท ประหยัดทัวร์ เอง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
“ในระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลช่วงแรกเราไม่ได้รับการติดต่อและไม่ได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทรถทัวร์คันนี้เลย ทุกอย่างพังทลายลงไปหมด เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น กิจการของครอบครัวซึ่งเป็นที่พักและร้านอาหารเล็กๆ ก็ต้องมาหยุดชะงักไปด้วย พอไม่มีเราก็ไม่มีใครดูแลร้าน ทำให้ขาดรายได้ พนักงานในร้านก็ได้รับผลกระทบกันหมด และในช่วงนั้นเองแม่ต้องไปหาเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในระหว่างเรานอนรักษาตัวอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดและทรมานมากที่สุด แม้ตอนนี้จะสามารถกลับมาทำงานได้แล้วและได้กลับมาปรับปรุงร้านอาหารที่ถูกปิดตัวไปนานกว่า 1 ปี จากอุบัติเหตุครั้งนั้น แต่ยังคงทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ชีวิตของเราก็ยังต้องสู้และเดินหน้าต่อไป เพราะรายได้จากการทำร้านอาหารเป็นเงินหมุนต้องนำไปจ่ายหนี้ที่ไปกู้มาเมื่อครั้งที่ยังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล และอีกส่วนหนึ่งใช้เป็นค่าดำเนินการต่างๆ ในการฟ้องร้องและสู้คดีด้วย”
ปัจจุบัน ศาลชั้นต้นตัดสินให้บริษัท ประหยัดทัวร์ ชดใช้ค่าเสียหายให้กับ “คุณชลธิชา” เป็นจำนวนเงิน 1.6 ล้านบาท แต่บริษัท ประหยัดทัวร์ ก็ได้ขอยื่นอุทธรณ์ไปแล้วและยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของศาลฯ แต่อย่างไรก็ตามแม้ทางรัฐบาลจะออกกฏมาว่าพนักงานขับรถโดยสารต้องขับรถได้ไม่เกินระยะเวลา 4 ชั่วโมง แต่รถทัวร์สายนี้ยังคงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่ให้เห็นอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการตั้งคำถามว่า “การบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดขนาดไหน และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องหรือไม่”
ส่วนชีวิตของ คุณชลธิชา ในปัจจุบัน ก็กลับมาปรับปรุงกิจการเล็กๆ ของครอบครัวหลังจากที่ต้องปิดให้บริการไปเป็นเวลานานด้วยเงินที่กู้มา ซึ่งมีบริการห้องพักรายวัน/เดือน, ร้านอาหาร และร้านคาร์แคร์ของแฟน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดยช่วงที่พอจะสร้างรายได้ขึ้นมาบ้างก็จะเป็นช่วงงานบุญหรือเทศกาล เช่น สงกรานต์ หรือบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นงานประเพณีประจำปีขนาดใหญ่ของอำเภอเท่านั้น หากใครมีโอกาสไปแถวนั้นก็สามารถแวะไปช่วยอุดหนุนเธอได้นะครับ
…มุมมืด