นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนการรถไฟฯ รับเช็คชําระเงินเพื่อประโยชน์ในการดําเนินกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยจาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) งวดที่ 4 เป็นเงินปีละ 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) โดยมีนายวรวัฒน์ พิทยศิริ รองคณะกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและดิจิตอล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนในการมอบ
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรับชําระเงินเพื่อประโยชน์ในการดําเนินกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย จาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 100,000,000 บาท ครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ทําบันทึกความเข้าใจระหว่างการถไฟแห่งประเทศไทยกับ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ในการตกลงขยายอายุสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟฯ ให้กับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) บริเวณที่ตั้ง ปตท. สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ออกไปอีก 30 ปี (สัญญาเช่ามีผลวันที่ 1 เมษายน 2556- ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2586)
ทั้งนี้ ในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ได้ระบุเงื่อนไขให้ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ตกลงให้เงินช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ในการดําเนินกิจการแก่การรถไฟฯ เป็นเงิน 757,700,000 บาท (เจ็ดร้อยห้าสิบเจ็ดล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นการชําระเงินช่วยเหลืองวดแรกในวันที่จดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินเมื่อปี 2558 เป็นเงิน 357,700,000 บาท (สามร้อยห้าสิบเจ็ดล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) และการชําระเงินช่วยเหลืองวดถัดไปเป็นรายปี (จํานวน 4 งวด) เป็นเงินปีละ 100,000,000.00 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) ภายในเดือนมกราคมของทุกปี โดยอยู่นอกเหนือจากค่าเช่าที่ดิน ซึ่ง ปตท. ได้ชำระครั้งเดียวตลอดอายุสัญญา 30 ปี ให้กับ รฟท. ครบถ้วนแล้ว 42,300,000 บาท (สี่สิบสองล้านสามแสนบาทถ้วน)
ดังนั้น ส่งผลให้ปัจจุบัน การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับเงินช่วยเหลือจาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เพื่อประโยชน์ในการดําเนินกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ในการตกลงขยายอายุสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟฯ ให้กับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) บริเวณที่ตั้ง ปตท. สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน ออกไปอีก 30 ปี ครบถ้วนแล้ว เป็นเงินจํานวน 757,700,000 บาท (เจ็ดร้อยห้าสิบเจ็ดล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) ซึ่งจะได้นำเงินไปใช้ประโยชน์ในกิจการของการรถไฟฯ ต่อไป