บริษัท Goldman Sachs ผู้ประกอบการวาณิชธนกิจ (Investment Banking)รายใหญ่ในสหรัฐฯ รายงานแนวโน้มตลาดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการลดการปลดปล่อยก๊าซของเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศ (Net-Zero) จะทำให้พลังงานจากไฮโดรเจนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดและจะผลักดันให้มูลค่าตลาดพลังงานไฮโดรเจนจะขยายตัวเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของมูลค่าการบริโภคพลังงานทั้งหมดภายในปี 2593
Mr. Michele DellaVigna หัวหน้ากลุ่มตราสารสินค้าโภคภัณฑ์บริษัท Goldman Sachs กล่าวว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดการปลดปล่อยก๊าซของเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศโลก (Net-Zero) ได้นั้น การให้ความสำคัญเฉพาะการเลือกใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power) เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียนควบคู่กับการใช้พลังงานจากไฮโดนเจนจึงน่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเนื่องจากพลังงานไฮโดรเจนมีความสะอาดสูงและ สามารถทดแทนพลังงานจากก๊าซธรรมชาติได้ อีกทั้งกระบวนการผลิตยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยด้านฤดูกาล และความต่อเนื่องในกระบวนการผลิตค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบการผลิตน้ำมันจากฟอสซิลอีกด้วย

ทั้งนี้ พลังงานจากไฮโดรเจนสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนพลังงานจากฟอสซิลได้แทบจะ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมการขนสิ่งอุตสาหกรรมการสร้างพลังงานความร้อน และอุตสาหกรรมหนัก
อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตพลังงานไฮโดรเจนบางวิธีอาจจะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น อุตสาหกรรมที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่จึงมักจะเลือกใช้พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และพลังงานไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen) เป็นหลัก
ข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (the International Energy Agency หรือ IEA) ระบุว่า กรรมวิธีการผลิตพลังงานจากไฮโดรเจนในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีโดยจะแบ่งออกเป็นสีตามกระบวนการผลิต ได้แก่ พลังงานไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) พลังงานไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen) พลังงานไฮโดรเจนสี น้ำตาล (Brown Hydrogen) และพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)
โดยวิธีการผลิตไฮโดรเจนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือใช้พลังงานไฟฟ้ากระตุ้นน้ำให้เกิดการแตกตัว ของสารออกซิเจนและสารไฮโดรเจน (Electrolysis) ซึ่งหากพลังงานที่ใช้ในการแยกไฮโดรเจนมาจากแหล่งพลังงาน หมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น พลังงานจากลม (Wind Power) หรือพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) พลังงานไฮโดรเจนที่ผลิตได้ดังกล่าวจะถูกเรียกว่า พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) หรือพลังงาน ไฮโดรเจนหมุนเวียน (Renewable Hydrogen) ส่วนพลังงานไฮโดรเจนสีฟ้ามาจากกระบวนการกลั่นก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันจากฟอสซิล ซึ่งกรรมวิธีการผลิตนี้จะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างกระบวนการผลิต

ดังนั้น ผู้ผลิตจึงต้องทำการกักเก็บก๊าซของเสียไม่ให้ออกสู่ชั้นบรรยากาศและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการถกเถียงกัน เป็นวงกว้างว่ากรรมวิธีการผลิตดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซของเสียออกสู่ชั้น บรรยากาศได้ตามเป้าหมายระยะยาวหรือไม่
Mr. DellaVigna ระบุไว้ในรายงานการขยายตัวของตลาดการผลิตพลังงานไฮโดรเจนเมื่อเดือนที่ ผ่านมาว่า แนวโน้มความต้องการบริโภคพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลทำให้มูลค่าตลาดพลังงานไฮโดรเจนที่มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันขยายตัวไปเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2593
โดยรายละเอียดในคำสั่งดังกล่าวกำหนดให้อาคารหน่วยงานรัฐทั้งหมดซึ่งมีมากกว่า 3 แสนแห่งทั่วประเทศใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซของเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศภายใน ปี 2573 และกำหนดให้การดำเนินงานของหน่วยงานต้องปราศจาการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างสิ้นเชิง (Carbon Free) ภายในปี 2588
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้หน่วยงานรัฐทั้งหมดเปลี่ยนรถยนต์และรถบรรทุกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปเป็นรถยนต์ และรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2578 หรือเป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 6 แสนคัน เป็นเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีกทั้ง ยังกำหนดให้การทำสัญญาซื้อสินค้าและบริการของภาครัฐทั้งหมดจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างสิ้นเชิง (Carbon Free) ภายในปี 2593
กระแสดังกล่าวส่งผลทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับแนวโน้ม ของตลาดพลังงานที่กำลังขับเคลื่อนไปสู่พลังงานไฟฟ้าและพลังงานไฮโดรเจนซึ่งถือเป็นพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

ในขณะนี้โดยผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ในตลาดหลายรายกำลังเร่งพัฒนาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนที่สามารถจำหน่ายและใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์ เช่น แบรนด์ BMW แบรนด์ Audi แบรนด์ Toyota และแบรนด์ Yamaha เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัท Airbus ผู้ประกอบการผลิตเครื่องบินราย ใหญ่ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเครื่องบินขนาดใหญ่ รุ่น Airbus A380 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน ไฮโดรเจนที่จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซของเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศในอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ โดย คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการทดสอบการบินได้จริงภายในปี 2571