ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบในหลักการปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยการนำรถปรับอากาศมาให้บริการ ขณะเดียวกันยังลดค่าครองชีพประชาชน ลดปัญหาจราจรติดขัด ลดมลภาวะที่เป็นพิษ ที่สำคัญลดปัญหาหนี้สิน ลดขาดทุนสะสมที่มีกว่า 127,786 ล้านบาทให้หมดไป อีกทั้ง ตามแผนฟื้นฟู ขสมก.การันตรีว่า ระหว่างปี 2563-71 จะขอรับเงินชดเชยจากรัฐอีกไม่เกิน 9,674 ล้านบาท และผลประกอบการ ขสมก.จะกลับมามีกำไรในปี 2572 คาดว่าไม่เกินเดือน มิ.ย.นี้ จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีหนี้สิน 127,786 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้พันธบัตร 64,339 ล้านบาท และหนี้เงินกู้ 63,446 ล้านบาท มีผลขาดทุนสะสมกว่า 9,000 ล้านบาท จึงต้องฟื้นฟูกิจการ โดยตามแผนฟื้นฟู จะจัดหารถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (อีวี) 2,511 คัน ซึ่งจะจ่ายค่าเช่าตามระยะทางที่ใช้งานจริง ระยะเวลาเช่า 7 ปี เมื่อนำมารวมกับการจัดหารถเมล์เอ็นจีวี ที่เคยดำเนินการไปแล้ว 489 คัน ทำให้มีรถเมล์รวม 3,000 คันให้บริการ หากแผนฟื้นฟูผ่าน ครม.เดือน มิ.ย.นี้ จะเริ่มจัดหารถทันที โดยจะรับมอบรถคันแรกเดือน มี.ค.2564 และจะครบทุกคันเดือน ก.ย.2565
ส่วนการลดค่าครองชีพประชาชน ตามแผนฟื้นฟู ค่าโดยสารจะเป็นตั๋ววันแบบเหมาจ่าย 30 บาท/วัน จากการศึกษาพบว่า ผู้โดยสารจะเสียค่าโดยสารถูกลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับราคาตั๋วในปัจจุบัน นอกจากนี้ จะปรับเส้นทางเดินรถใหม่ โดย ขสมก.จะมี 108 เส้นทาง และรถร่วม ขสมก. 54 เส้นทาง รวมเป็น 162 เส้นทาง จากเดิมที่มีกว่า 269 เส้นทาง ส่วนการจัดการทรัพยากร บุคคล ที่ปัจจุบันมีพนักงาน 13,961 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานขับรถกว่า 5,000 คนนั้น จะจัดทำโครงการเกษียณก่อนอายุ 5,301 คน ใช้วงเงิน 4,560 ล้านบาท ในอนาคตหลังปรับโครงสร้างองค์กร จะเหลือพนักงานเพียง 8,267 คน ขณะที่การจัดเช่ารถเมล์ใหม่ จะเช่ารวมคนขับด้วย แต่ ขสมก. มีแผนให้เอกชนที่ได้งานโครงการจัดหารถเมล์อีวี นำพนักงานใหม่มาขับรถตามสัญญา ในลักษณะผสมผสานกับพนักงานขับรถของ ขสมก. ไปจนกว่าพนักงานจะทยอยเกษียณอายุ เพื่อไม่ให้กระทบสภาพการจ้าง

ด้าน นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า แผนฟื้นฟูขสมก.มีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ 1. เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน 2. เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดและลดมลภาวะ 3. เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทุนของขสมก. อย่างยั่งยืนและไม่เป็นภาระต่อภาคัฐ โดยมีเป้าหมายคือ หากแผนฟื้นฟูฉบับปรับปรุงได้รับการพิจารณาอนุมติในที่ประชุม จะทำให้ขสมก. เดินหน้าลดต้นทุนจัดหารถใหม่ให้ขสมก. และเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก สำคัญคือต้องลดค่าโดยสารเหลือวันละ 30 บาท ขึ้นกี่เที่ยวกี่สายก็ได้ไม่จำกัด ยกเลิกโครงการจัดซื้อรถโดยสาร ตัดขาดขบวนการเพิ่มหนี้ล ดต้นทุนทุกประเภท เผยต่อไปนี้ ขสมก.ไม่ต้องลงทุนเองหันมาใช้โมเดลเดียวกับต่างประเทศจัดจ้างเอกชนลงทุนจัดหารถเมล์ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือ NGV เท่านั้นไม่ก่อมลภาวะโดยเฉพาะละอองฝุ่น pm.2.5
“เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนตนขอเปรียบเทียบแผนฟื้นฟูฉบับเดิมกับแผนฟื้นฟูฉบับปัจจุบัน กล่าวคือแผนฟื้นฟูเดิมนั้นยังไม่ตอบโจทย์เรื่องของการลดภาระค่าโดยสารจากประชานและยังคงสร้างภาระหนี้เพิ่มด้วยการจัดซื้อรถใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2,500 คัน โดยต้องใช้วงเงินกู้กว่าสองหมื่นล้านบาทและใช้วิธีการผลักภาระให้ประชาชน โดยเพิ่มค่าโดยสารจากเดิม 9-15 บาทขึ้นเป็น 15,20,25 บาทเมื่อเปรียบจากแผนเดิมเฉลี่ยคนเดินทางไปกลับ 2.04 เที่ยว/วัน ต้องจ่ายค่าโดยสารอย่างน้อย 48 บาท/วัน แต่แผนใหม่จ่ายทั้งวัน 30 บาท จะขึ้นกี่สายกี่เที่ยวก็ได้ไม่จำกัด โดยมีแผนรองรับเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรนักเรียนหรือบัตรรายเดือน เพื่อเป็นการรองรับผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย ที่สำคัญแผนฟื้นฟูฉบับปรับปรุงนี้จะทำให้ต้นทุนการให้บริการของขสมก. ลดลงจาก 54 บาทต่อกิโลเมตร ลดลงเมื่อจ้างเอกชนเดินรถจะเหลือไม่ถึง 34 บาทต่อกิโลเมตร”
ซึ่งสอดคล้องกันกับช้อมูลของ นายสุเมธ องกิตติกุล ผอ.วิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ.กล่าวว่า สิ่งที่เกิดในอดีตของ ขสมก.ที่มีปัญหามากพอสมควรคือ โครงสร้างต้นทุนค่อนข้างสูงได้แก่บุคลากรและเชื้อเพลิง ปัจจุบัน ขสมก.มีพนักงานเกือบ 14,000 คน รถ 1 คันต้องใช้พนักงานขับรถถึง 3 คน ล่าสุดมีพนักงานเก็บค่าโดยสาร 5,781 คน ตรงนี้คือต้นทุนโครงสร้างด้ายบุคลากร ส่วนโครงสร้างด้านเชื้อเพลิง ถ้าเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหรือ NGV ก็จะช่วยลดต้นทุนได้อีกทาง
นอกจากต้นทุนต่อกิโลเมตรลดลงแล้ว แผนฟื้นฟูฉบับใหม่มีความจำเป็นต้องกำหนดเส้นทางเดินรถใหม่ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางบนค่าโดยสารใหม่ทั้งวันได้แบบไร้รอยต่อ ซึ่งแต่ละเส้นทางต้องไม่ทับซ้อนกันเหมือนทุกวันนี้ ที่มีจำนวนรถโดยสารอยู่บนท้องถนนมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางบนถนนพหลโยธินเพียงสายเดียวมีเส้นทางเดินรถทับกันถึง 30 เส้นทาง เฉลี่ยเส้นทางละ 30 คัน เท่ากับมีรถเมล์ 900 คันจอดเรียงรายบนถนนพหลโยธิน รถเมล์ 1 คันยาว 12 เมตรเท่ากับเราเสียพื้นที่ถนนไป 10 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้แผนฟื้นฟูฉบับแก้ไขปรับปรุงเราจะลดจำนวนรถเมล์ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง โดยส่วนตัวตนมีความเชื่อมั่นว่า แผนฟื้นฟูฉบับนี้ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเชื่อมาเรามาถูกทางแล้ว
“ถ้าแผนฟื้นฟูไม่สำเร็จ ผมพร้อมพิจารณาตัวเองเปิดทางให้คนอื่นมาบริหาร ขสมก.”