ขนส่งฯชวนประชาชนใช้รถพลังงานไฟฟ้าเพื่อประหยัดพลังงานแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เผยสถิติยอดจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้าประจำปีงบประมาณ 66 กว่า 7หมื่นคัน ย้ำมาตรการลดภาษีรถพลังงานไฟฟ้าวันนี้จนถึง10 พ.ย.68
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่ กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตามนโนบายรัฐบาล กระทรวงคมนาคม ในการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) เพื่อเป็นการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ผ่านมาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ซึ่งได้ผลตอบรับจากประชาชนในการดำเนินนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยสถิติการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้า ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2565 – 30 ก.ย. 2566) มีจำนวนทั้งสิ้น 73,341 คัน เมื่อเทียบกับจำนวนการจดทะเบียนฯในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 14,696 คัน โดยมีอัตราการจดทะเบียนฯ เพิ่มขึ้น จำนวน 58,645 คัน คิดเป็น 399.05%
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2568 โดยให้ลดภาษีลงร้อยละ 80 จากอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ดังนี้
– รถเก๋งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 1,600 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 320 บาท
– รถตู้ส่วนบุคคลที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 800 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 160 บาท
– ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 50 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 10 บาท เป็นต้น
โดยเริ่มตั้งแต่วันที่รถนั้นจดทะเบียนเป็นระยะเวลา 1 ปี กรมการขนส่งทางบก ขอเชิญชวนประชาชนหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นรถทางเลือกในการลดมลพิษทางอากาศเพราะด้วยเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของมอเตอร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงอย่างน้ำมัน 100% ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียและการเผาไหม้ใดๆ ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศได้ จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงประหยัดภาษีประจำปีให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่ง